ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553
ออกข้อสอบโดย อาจารย์เชาวรัตน์ ช่ำชอง
ข้อ 1. ให้ท่านสรุปสาระสำคัญที่ได้จากการศึกษา วิชา ความเป็นผู้นำทางการบริหารการศึกษา เพื่อแสดงให้เห็นว่า ท่านมีภูมิรู้ ภูมิปัญญา อันสะท้อนให้เห็นในเรื่องหลักการ และแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นผู้นำทางการบริหารการศึกษา พร้อมทั้งข้อเสนอแนะที่ท่านจะนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและหน่วยงาน
ตอบ สาระสำคัญที่ได้จากการศึกษา วิชา ความเป็นผู้นำทางการบริหารการศึกษา มีดังนี้
ข้อ 1. แนวคิดเกี่ยวกับผู้นำ ภาวะผู้นำ และผู้ตาม
- ความหมายของผู้นำ และ ภาวะผู้นำ
- ผู้นำกับผู้บริหาร
- ผู้กับผู้ตาม
- บทบาทภาวะผู้นำทางการศึกษา
ความหมาย
ผู้นำ หมายถึง บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ใช้ปัญญาชี้นำและเป็นต้นแบบที่ดีแก่ผู้อื่นหรือสังคม
ภาวะผู้นำ หมายถึง สภาพหรือลักษณะที่แสดงออกของผู้นำ ซึ่งเป็นผลรวมของบุคลิกภาพ เช่น ลักษณะทางกาย ทางอารมรณ์ ทางสังคมและมนุษยสัมพันธ์ เป็นต้น
ผู้บริหาร หมายถึง บุคคลซึ่งทำหน้าที่หัวหน้างานเพื่อจัดดำเนินงานให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
ผู้ตาม หมายถึง บุคคลที่ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมยอมตามผู้นำ
ผู้นำทางการศึกษา หมายถึง บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถใช้ปัญญาชี้นำ และเป็นต้นแบบที่ด้านการศึกษา
ลักษณะความเป็นผู้นำ
1. คุณลักษณะ เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ มีทักษะการพูด มีบุคลิกลักษณะที่ดี
2. พฤติกรรม มีลักษณะเด่นชัดทางพฤติกรรม เช่น พูดดี, มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นต้น
3. สถานการณ์ ทำให้เกิดภาวะผู้นำได้ เช่น เรื่องปัญหาพลังงาน, ปัญหาสงคราม, จะส่งผลผลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
สรุป ผู้นำ คือ “บุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการใช้ปัญญาชี้นำ เพื่อปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์ บรรลุตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ต่อองค์กรและต่อตนเอง โดยอาศัยเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ในทิศทางที่พึงประสงค์”
ข้อ 2. ทฤษฏีเกี่ยวกับผู้นำ
ทฤษฎีเกี่ยวกับผู้นำ นักวิชาการด้านการบริหาร นอกจากจะมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องความหมายของผู้นำแล้ว ยังมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการเป็นผู้นำแตกต่างกัน แนวคิดต่าง ๆ เหล่านี้ อาจรวบรวมเป็นหลักเกณฑ์และตั้งเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการเป็นผู้นำได้ 5 ประการ (Fiedler. 1967 : 34) ดังนี้
1. ทฤษฎีพันธุกรรม (Genetic Theory) แนวคิดตามทฤษฎีนี้ มีมาแต่โบราณโดยมีความเชื่อว่า การเป็นผู้นำเป็นเรื่องของความสามารถที่เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล หรือเฉพาะตระกูลและสืบเชื้อสายกันได้ เชื่อว่าบุคลิกภาพหรือลักษณะการเป็นผู้นำเป็นของที่มีมาแต่กำเนิด และคุณสมบัติเหล่านี้เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ผู้ที่เกิดในตระกูล ผู้นำย่อมมีลักษณะผู้นำด้วย
2. ทฤษฎีคุณลักษณะผู้นำ (Trait Theory) เมื่อเหตุการณ์ในโลกเปลี่ยนแปลงไป ทฤษฎีพันธุกรรมได้รับการปรับปรุงแก้ไข ผู้นำไม่จำกัดเฉพาะบางตระกูลเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้จากคนทุกระดับ ขอให้มีคุณสมบัติภาวะผู้นำ (Leadership Trait) คุณสมบัตินี้อาจมีมาโดยกำเนิดหรืออาจได้มาจากประสบการณ์ การศึกษาเล่าเรียนหรือการฝึกอบรม
3. ทฤษฎีผลกระทบระหว่างบุคคลและสถานการณ์ (Personal – Situational Theory) ทฤษฎีนี้มีแนวคิดว่าการศึกษาภาวะผู้นำโดยเน้นเฉพาะตัวผู้นำเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ ควรจะได้มีการศึกษาถึงสถานการณ์และสภาพแวดล้อมด้วย เพราะภาวะผู้นำนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม การเป็นผู้นำนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นสำคัญ ผู้นำจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเขามีลักษณะที่สอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งถือว่าผู้นำเกิดจากผลกระทบของปัจจัย 2 ประการ คือ คุณสมบัติผู้นำ (Trait) และเหตุการณ์ที่เผชิญหน้ากลุ่ม (Situation)
4. ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์และความคาดหวัง (Interaction – Expectation Theory) แนวคิดตามทฤษฎีนี้ มีหลักการว่า สมาชิกของกลุ่มคนใดคนหนึ่งจะเป็นผู้นำได้ถ้าหากบุคคลนั้นเป็นผู้ริเริ่มบทบาทในกลุ่มและบทบาทเหล่านี้ ย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของกลุ่มด้วยองค์ประกอบ ที่เป็นสถานการณ์ของกลุ่มมี 3 ประการ คือ
4.1 อำนาจตามตำแหน่ง บางกลุ่มผู้นำจะมีอำนาจตามตำแหน่ง เช่น ครูใหญ่ประชุมครูในโรงเรียน แต่บางกลุ่มผู้นำจะไม่มีตำแหน่งเลย เช่น การเล่นของเด็ก ผู้นำที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ก็เป็นที่ยอมรับได้ อำนาจตามตำแหน่งของผู้นำมีความสำคัญต่อการปฏิสัมพันธ์ในกลุ่ม
4.2 ภารกิจในกลุ่ม คือ งานที่กลุ่มต้องการทำให้สำเร็จ งานเหล่านี้อาจจะยากง่ายแตกต่างกัน งานบางอย่างต้องสนใจวิเคราะห์และใช้ข้อมูลจำนวนมากประกอบในการ ตัดสินใจ ความยากง่ายก็มีความสำคัญต่อปฏิสัมพันธ์ในกลุ่ม
4.3 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและสมาชิกในกลุ่ม ผู้ตามย่อมมีความคาดหวังจากผู้นำ หารผู้นำเป็นที่ยอมรับและมีความสามารถตามที่คาดหวัง การติดต่อสัมพันธ์ในกลุ่มเป็นไปด้วยดี โอกาสในการนำกลุ่มไปสู่จุดหมายปลายทางก็ง่ายขึ้น
5. ทฤษฎีมนุษยนิยม (Humanistic Theory) ทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญที่ตัวบุคคล คือ เน้นตัวมนุษย์สร้างหลักการโดยอาศัยธรรมชาติของมนุษย์เป็นเกณฑ์ โดยถือหลักว่า
5.1 เน้นธรรมชาติของมนุษย์เป็นหลัก มนุษย์รักอิสระ มีความต้องการความหวัง ความตั้งใจและแรงจูงใจที่จะทำงาน
5.2 ธรรมชาติขององค์การย่อมมีการควบคุมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
5.3 ภารกิจของผู้นำ คือ จัดปรับปรุงสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศของ องค์การเพื่อให้บุคคลทำงานได้อย่างเต็มที่ สนองความต้องการส่วนบุคคล และบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
ข้อ 3. ผู้นำในการบริหารการศึกษา
บทบาทของผู้นำทางการศึกษา
1. จะต้องเป็นผู้ให้คำปรึกษาหารือในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม และเป็นธรรม เป็นผู้นำทางปัญญา รอบรู้ด้านใดด้านหนึ่งชัดเจน อาศัยความรู้ประสบการณ์ที่ดีในอาชีพ
2. ต้องเป็นผู้จูงใจผู้อื่นให้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นตัวแบบ ตัวอย่างที่ดี ผู้นำจึงต้องปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดี ผู้นำต้องเป็นผู้ยอมรับจากผู้อื่น
3. ต้องเป็นนักพัฒนา เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ไม่เห็นแก่ตัวและพวกพ้องตนเอง เป็นนักพัฒนา มีความคิดเชิงบวก มองโลกในแง่ดี
4. บทบาทในเชิงบริหาร วิชาการ แก้ปัญหาได้
5. บทบาทในการเป็นบุคคลที่มีความรอบรู้ เฉลียวฉลาด อารมณ์มั่นคง มีความฉลาด มีอารมณ์ดี และมีคุณธรรมและจริยธรรมสูง
บทบาทของผู้นำยุคใหม่
บทบาทของผู้นำ เป็นการแสดงออกโดยอิสระที่มีผลดีต่อผู้อื่นหรือสังคม เช่น การตัดสินใจ การจูงใจให้คนทำงาน การแสดงออกทางความคิด การพูด พฤติกรรมทางอารมณ์ การอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม เป็นต้น
1. เป็นผู้ชี้นำให้คำปรึกษาหารือในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและเป็นธรรม ในสังคมแห่งความรู้มีความต้องการบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถชี้นำ หรือให้คำปรึกษาในฐานะเป็นผู้ชำนาญการหรือผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้นำทางปัญญาย่อมเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ชัดเจนเรียกว่า ระดับมืออาชีพ (Professional) เช่น ครูมืออาชีพ ผู้บริหารมืออาชีพ นักธุรกิจมืออาชีพ เป็นต้น คุณลักษณะมืออาชีพประกอบด้วยความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งเจตคติที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรมในวิชาชีพของตนเอง
2. เป็นผู้จูงใจให้ผู้อื่นปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องตามตัวแบบหรือตัวอย่างที่ดีได้ ผู้นำจึงต้องปฏิบัติตนเป็นตัวแบบที่ดี ทำให้ผู้อื่นเชื่อถือ ศรัทธา ยอมรับในบุคลิกภาพ ความคิดเห็น และยอมรับในพฤติกรรมดังกล่าว เช่น ครู อาจารย์ พระสงฆ์ โต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม นายกรัฐมนตรี นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น การจูงใจไม่ใช่เพียงแต่การพูดเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อและปฏิบัติตามเท่านั้น แต่ผู้นำยังต้องแสดงพฤติกรรมที่ทำให้เป็นตัวอย่างที่น่าเคารพ ศรัทธา ทำให้ผู้อื่นรับรู้และปฏิบัติตาม เกิดความเชื่อ ความชอบ และชื่นชม
3. เป็นผู้พัฒนาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่พึงประสงค์ขององค์การหรือสังคม ผู้นำจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ มองไกลในอนาคต และทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ไม่เห็นแก่ตัวและพวกพ้องตนเอง มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและเป็นผู้พัฒนาให้สังคมอยู่อย่างมีความสุข สร้างความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น และมีความคิดเชิงบวก มองโลกในทางดี ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่สังคม
ข้อ 4. ผู้นำการเปลี่ยนแปลง
1.ภาวะผู้นำเชิงคุณลักษณะ : ผู้นำ VS ผู้ตาม(Traits Model of Leadership : Leader VS Followers)
2.ภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ : ผลกระทบของบริบทที่เป็นตัวกำหนดแบบผู้นำ(Situational leadership : Impact of the setting on leaders)
3.ผู้นำที่มีประสิทธิผล : สองมิติที่สำคัญ(Effective Leaders: Two Dimensions)
4.ตัวแบบสถานการณ์ : มีมากกว่าสถานการณ์ทั่วไป (Contingency Models : More than the Situation)
5.ภาวะผู้นำแบบไม่มีผู้นำแน่นอน : คือสามารถมีผู้นำได้หลายคน (Non-leader Leadership : Many Leadership)
ข้อ 5. ผู้นำกับการสร้างแรงจูงใจ
การสร้างแรงจูงใจ คือ การที่ผู้นำจะประพฤติในทางที่จูงใจให้เกิดแรงบันดาลใจกับผู้ตาม โดยการสร้างแรงจูงใจภายใน การให้ความหมายและท้าทายในเรื่องงานของผู้ตาม ผู้นำจะกระตุ้นจิตวิญญาณของทีม (Team spirit) ให้มีชีวิตชีวา มีการแสดงออกซึ่งความกระตือรือร้น โดยการสร้างเจตคติที่ดีและการคิดในแง่บวก ผู้นำจะทำให้ผู้ตามสัมผัสกับภาพที่งดงามของอนาคต ผู้นำจะสร้างและสื่อความหวังที่ผู้นำต้องการอย่างชัดเจน ผู้นำจะแสดงการอุทิศตัวหรือความผูกพันต่อเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมกัน ผู้นำจะแสดงความเชื่อมั่นและแสดงให้เห็นความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ผู้นำจะช่วยให้ผู้ตามมองข้ามผลประโยชน์ของตนเพื่อวิสัยทัศน์และภารกิจขององค์การ ผู้นำจะช่วยให้ผู้ตามพัฒนาความผูกพันของตนต่อเป้าหมายระยะยาว และบ่อยครั้งพบว่า การสร้างแรงจูงใจนี้ เกิดขึ้นผ่านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคลและการกระตุ้นทางปัญญา ช่วยให้ผู้ตามจัดการกับอุปสรรคของตนเองและเสริมความคิดสร้างสรรค์
ข้อ 6. การค้นหาพฤติกรรมผู้นำของผู้บริหาร
ซึ่ง กริฟฟิทส์ (Griffiths , 1956 : 243 – 253) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้นำไว้ 7 ประการ คือ
1. ผู้นำในฐานะผู้มีความคิดริเริ่ม หมายถึง ผู้นำหรือผู้บริหารที่ดีมักจะแสดงพฤติกรรมในด้านการิเริ่มงานใหม่ ๆ การเป็นผู้บริหารหรือผู้นำจะต้องทำงานหนักอยู่เสมอ เพื่อให้งานที่ตนคิดริเริ่มทำนั้นบรรลุผลสำเร็จ
2. ผู้นำในฐานะผู้รู้จักปรับปรุงแก้ไข หมายถึงผู้นำหรือผู้บริหารการศึกษาที่มีพฤติกรรมคอยแนะนำกระตุ้น และให้กำลังใจแก่เพื่อนร่วมงาน เพื่อปรับปรุงการทำงาน หาวิธีการทำงานใหม่ ๆ ให้เพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ
3. ผู้นำในฐานะผู้ให้การยอมรับนับถือ หมายถึง ผู้นำหรือผู้บริหารที่มีพฤติกรรมยอม รับผู้อื่น เมื่อเขาทำงานประสพผลสำเร็จ รู้จักให้กำลังใจ ยกย่อง ชมเชย ยอมรับผลสำเร็จของผู้ร่วมงาน ไม่ถือโอกาสหยิบฉวยเอาผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน รู้จักดึงเอาศักยภาพที่แฝงอยู่ในตัวของผู้ร่วมงาน มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นผู้ที่เข้าใจและมองเห็นปัญหาของผู้ร่วมงาน รู้จัก ยกย่องชมเชยทั้งต่อหน้าบุคคลอื่น เมื่อเขาทำงานสำเร็จ
4. ผู้นำในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือ หมายถึง ผู้นำ หรือผู้บริหารที่มีพฤติกรรมพร้อมเสมอที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
5. ผู้นำในฐานะผู้โน้มน้าวจิตใจ หมายถึง ผู้นำหรือผู้บริหารที่มีพฤติกรรมสามารถ พูดจาชักจูงใจให้หมู่คณะปฏิบัติงานด้วยความร่วมมือร่วมใจ และประสารสัมพันธ์กันและเป็นผู้ที่มีความสามารถในการใช้ภาษา ซึ่งจะเป็นการสร้างเสน่ห์ให้ผู้อื่นเชื่อถือมีศรัทธาในตน มีความจริงใจในสิ่งที่ตนพูด เพื่อให้งานมีผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนดไว้
6. ผู้นำในฐานะผู้ประสานงาน หมายถึง ผู้นำหรือผู้บริหารที่มีพฤติกรรมในการกระตุ้นให้ผู้ร่วมงานอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนงาน และกระตุ้นสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานตามแผนผู้นำจะต้องเป็นผู้ประสานให้คนทำงานร่วมกันอย่างเต็มใจ และมีความเข้าใจดีต่อกัน
7. ผู้นำในฐานะผู้เข้าสังคมได้ดี หมายถึง ผู้นำหรือผู้บริหารที่มีพฤติกรรมที่สามารถเข้ากับคนในสังคมได้ ถือว่าการเข้าสังคมเป็นภารกิจที่สำคัญของผู้นำ ผู้นำสามารถอยู่กับคนได้ทั้งในและนอกองค์การ โดยยอมเสียสละเวลาและทุนทรัพย์ส่วนตัวในบางโอกาส เพื่อนำบุคคลต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุนการทำงานในองค์การ ดังนั้นการเข้าสังคมในระดับต่าง ๆ ผู้นำต้องเรียนรู้ และปรับปรุงตนเองให้เหมาะสม
ข้อ 8. องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความเป็นผู้นำและพฤติกรรมที่คาดหวังในการบริหารการศึกษา
ข้อ 9. ผู้นำเชิงกลยุทธ์และผู้นำที่ท้าทายในยุคปัจจุบัน
ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์จึงหมายถึงกระบวนการกำหนดทิศทางและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคคลากรในองค์การยอมรับ และร่วมมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย (หรือทำให้องค์การอยู่รอด)
คุณลักษณะของผู้นำเชิงกลยุทธ์
มีความเข้าใจในงานที่ทำในระดับสูง(Professional Insight)
– การคิดเชิงมโนทัศน์(Conceptuality)
– การคิดเชิงระบบ(Systems Thinking)
มีวิสัยทัศน์-มองสภาพขององค์การในอนาคตได้ดี
มีความสามารถในการกำหนดกลยุทธ์(How To)
– SWOT Analysis
– กระบวนการกลุ่ม
ความเป็นประชาธิปไตย
คุณลักษณะของผู้นำเชิงกลยุทธ์
มีมุมมองเชิงอนาคต(Perspective)
– ทางเลือกและผลกระทบ
มีวิธีคิดเชิงปฏิวัติ(Revolutionary Thinking)
– คิดนอกกรอบ
– นวัตกรรม
ผู้นำที่ท้าทายในยุคปัจจุบัน ( The Leadership Challenges)
Skill & Behavior ผู้นำในยุคปัจจุบันควรมีทักษะและพฤติกรรมต่อไปนี้
1. Technical Expertise หมายถึงผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญงานเทคนิควิธีการทำงาน
2. Administrative skills หมายถึงผู้นำมีทักษะทางการบริหารที่ดี
3. Interpersonal skills หมายถึงผู้นำมีทักษะในด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น
4. Cognitive skills หมายถึงผู้นำที่มีทักษะในด้านการทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆได้ดี
5. Political skills หมายถึงผู้นำมีทักษะทางการเมืองในองค์กร
นอกจาก มีผู้นำในแบบต่างๆ ปัจจุบันยังมีการสรุปคุณลักษณะที่ผู้นำในยุคปัจจุบันควรจะมี ซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติพื้นฐานดังนี้
1. มีความท้าทายในกระบวนการบริหาร (Challenge the Process ) ผู้นำจะต้องเป็นผู้ที่
ความกล้าที่จะเผชิญความเสี่ยงต่างๆซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่ท้าทาย ซึ่งการเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆนั้นบุคคลแต่ละบุคคลมีไม่เท่ากัน ในแง่ของการบริหารธุรกิจนั้น มีปัจจัยท้าทายหลายประการ เช่นการลงทุนเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ การปรับปรุงระบบเพื่อผลทางการดำเนินการ หรือการขยายกิจการไปในต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ผู้นำจะต้องมีความกล้าที่จะกระทำในสิ่งที่ตนยังไม่ทราบว่าจะสำเร็จหรือไม่ หรือคิดการแสดงบทบาทของผู้บุกเบิก แต่การเผชิญกับสิ่งที่ท้าทาย โดยผู้นำในปัจจุบันนั้น จะต้องเป็นการเผชิญอย่างเป็นระบบ มิใช่การเสี่ยงแบบไร้ทิศทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท้าทายจากการดำเนินงานในต่างประเทศ เป็นสิ่งที่มีขอบเขตกว้างกว่าการท้าทายการดำเนินงานภายในประเทศ เนื่องจากมีตังแปรที่เกี่ยวข้องมากกว่า
2. กระตุ้นให้เกิดวิสัยทัศน์ร่วมกันในองค์การ (Inspire a Share Vision) ความสำเร็จของ
ธุรกิจในโลกปัจจุบันมิได้ขึ้นอยู่แต่เพียงประสบการณ์และความขยันหมั่นเพียร เช่น ผู้บริหารในอดีตเราจะเห็นผู้บริหารจำนวนมากที่อายุประสบการณ์น้อยแต่สามารถสร้างความสำเร็จให้กับองค์การและตนเองได้ในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะความสามารถในการคาดการณ์ ความเป็นไปต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (Visionหรือ วิสัยทัศน์) และสามารถประยุกต์เทคโนโลยีต่างๆมาใช้สนับสนุนการบริหารอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถสร้างสิ่งที่ตนคาดการณ์ไว้ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ การมีวิสัยทัศน์ที่ทันสมัยตรงกับโลกของความเป็นจริง และ สามารถนำวิสัยทัศน์เหล่านั้น ไปสู่การปฏิบัติจนเกิดความสำเร็จ เป็นสิ่งที่จำเป็นในการสร้างความสำเร็จให้กับองค์การในปัจจุบันอย่างยิ่ง
3. สร้างสรรค์พฤติกรรมในการทำงานให้กับสมาชิก (Enabling Other to Act) ปัจจัย
สำคัญในการที่จะเป็นผู้นำที่แท้จริงนั้น ได้แก่การที่ผู้นำได้รับการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา การที่ผู้นำจะได้รับการยอมรับนั้น ผู้นำจะต้องมีความสามารถในการทำงานเป็นทีม ดั้งนั้นผู้นำที่ดีจะต้องมีความสามารถด้านต่างๆ ในการที่จะสร้างทีมงาน และ ผูกใจทีมงาน เพื่อก่อให้เกิดความร่วมมือกันในองค์การ
4. เป็นต้นแบบให้กับสมาชิกในองค์กร (Modeling the Way) โดยธรรมชาติแล้วพฤติ
กรรมการแสดงออกของผู้นำจะต้องเป็นสิ่งที่อยู่ในสายตาของทุกคนในองค์การ และ มีแนวโน้มที่จะเป็นต้นแบบของพฤติกรรมของบุคคลากรทั้งหลาย ผู้นำจึงต้องมีความระวังที่จะแสดงออกในสิ่งเหมาะสมกับสถานภาพของตนเอง อย่างไรก็ดีการเสแสร้งแสดงออกในสิ่งที่ไม่ใช่เป็นตัวตนที่แท้จริง ของผู้นำจะไม่เกิดประโยชน์อันใดในระยะยาว ดังนั้นพฤติกรรมที่เกิดจากลักษณะที่แท้จริงของบุคคล จะทำให้พนักงานสามารถพิจารณาได้อย่างชัดเจน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้บุคคลแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันในแง่ของการเป็นผู้นำ และ ความมีระเบียบเรียบร้อยในการทำงานก็จะเป็นสิ่งที่สมาชิกสามารถเรียนรู้และ เกิดความนิยมยกย่องในตัวผู้นำ
5 . ให้กำลังใจและสนับสนุนส่งเสริมผู้ใต้บังคับบัญชา (Encourage the Heart) พฤติกรรม
ชนิดนี้ จะเป็นสิ่งที่คอยบำรุงรักษาจิตใจพนักงาน จัดเป็นการบำรุงขวัญกำลังใจในระยะยาว เปรียบเสมือนเครื่องจักรมิใช่จะมีการติดตั้งแล้วใช้งานเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องมีการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องจิตใจของมนุษย์ก็เช่นกัน มิใช่เพียงแค่จัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ และ การให้สิ่งจูงใจในรูปเงินตราจะเพียงพอ แต่ยังรวมถึงการสร้างขวัญและกำลังใจจากพฤติกรรมส่วนบุคคลของผู้นำถึงจะมีส่วนสนับสนุนในระยะยาว
ข้อ 7. ผู้นำทางวิชาการ
ตอบ ผู้นำทางด้านวิชาการ หมายถึง ความสามารถในการเป็นผู้นำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของโรงเรียน เป้าหมายแรกของโรงเรียน คือ การสอนหรือการจัดการเรียนการสอน คุณภาพของการเรียนการสอนในโรงเรียนของคุณจะแสดงถึงความสามารถของคุณในการจัดการด้านวิชาการ เพื่อให้การเรียนการสอนมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ คุณต้อง เน้นถึงการปฏิบัติภาระงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางด้านวิชาการให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งหมายความถึง การพัฒนาหลักสูตรการประเมินผล และการนิเทศ และการสนับสนุนด้านนวัตกรรมการเรียนรู้ และสิ่งนี้จะช่วยอธิบายว่าทำไมแต่ละ Module จึงเน้นในหัวข้อหรือทักษะที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้บริหารโรงเรียน เช่น คุณจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเพื่อให้เป็นผู้นำทางด้านวิชาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. การจัดเตรียม แก้ไข และประเมินแผนการเรียนการสอน
1. การจัดกระบวนการเรียนการสอนให้เข้าใจง่ายขึ้น
2. การจัดการเพื่อพัฒนาสื่อการเรียนการสอน
3. การจัดการด้านการบูรณาการเรื่องพหุปัญญาและทักษะการคิดขั้นสูง
4. การสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสำหรับวัตถุประสงค์ทางด้านวิชาการ
5. การประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้เรียน
6. การวางแผน การนิเทศเพื่อการพัฒนา
7. การวางแผน การนิเทศเพื่อพัฒนาศักยภาพ
8. การวางแผน การนิเทศแบบคลินิก
9. การประชุมหลังการนิเทศ
10. การให้คะแนนการปฏิบัติงานครู
11. การนำเข้าสู่นวัตกรรมทางด้านวิชาการ
12. การเตรียมแผนการนิเทศการสอน-ส่วนที่ 1
13. การเตรียมแผนการนิเทศ-ส่วนที่ 2
ทั้ง 14 หัวข้อเป็นเรื่องของการรวมหน้าที่ต่าง ๆ ของผู้บริหารโรงเรียน โดยหน้าที่เหล่านี้จะเน้นที่ความสำคัญของผู้บริหารในด้านการเป็นผู้นำด้านวิชาการและการวางหลักสูตร ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องทำและต้องทำให้ได้ดี เพื่อให้โรงเรียนของคุณได้บรรลุถึงเป้าหมายในการให้การศึกษาด้วยวิธีที่ดีที่สุด
ข้อ 8. ผู้นำกับการบริหารความเครียด
1. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นเทคนิคที่สะดวกและช่วยให้อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลดลง โดยในขณะฝึก จิตใจจะจดจ่ออยู่กับการการคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ทำให้ลดการคิดฟุ้งซ่านและความวิตกกังวล จิตใจจะมีสมาธิมากขึ้น
2. การฝึกการหายใจ เป็นเทคนิคในการบริหารกล้ามเนื้อกระบังลมบริเวณท้อง ช่วยให้ร่างกายได้อากาศเข้าสู่ปอดมากขึ้นและช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กล้ามเนื้อหน้าท้องและลำไส้
3. การทำสมาธิ เป็นการจัดการกับความเครียดที่ลึกซึ้งที่สุด เพราะ จะทำให้จิตใจสงบ โดยใช้วิธีการนับลมหายใจ
4. การจินตนาการ เป็นเทคนิคที่เบี่ยงเบนความสนใจจากสถานการณ์อันเคร่งเครียด โดยให้ย้อนระลึกถึงประสบการณ์ที่สงบสุขในอดีต
5. การคลายเครียดจากใจสู่กาย เป็นการจัดการกับความเครียด โดยการให้ใจไปยังส่วนของกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งกล้ามเนื้อในส่วนนั้นจะมีความรู้สึกหนัก จะทำให้ร่างกายรู้สึกว่าอบอุ่นขึ้น มีผลทำให้คลายเครียดได้
6. การนวดคลายเครียด การนวดจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้รู้สึกปลอดโปร่ง สบายตัว
จากข้อมูล แนวทางการจัดการกับความเครียด สรุปได้ว่า การจัดการกับความเครียดเป็นการกระทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง เพื่อการผ่อนคลายความเครียดที่เกิดขึ้นจาก ความไม่สมดุล ของสภาวะทางร่างกาย และจิตใจ ที่เกิดผลกระทบจากสิ่งเร้าที่ไม่ต้องการ ทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย ดังนั้นผู้ที่เป็นผู้บริหารควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง
ข้อ 9. ผู้นำกับการตัดสินใจ และการบริหารเวลา
ตอบ ผู้นำกับการตัดสินใจ มีดังนี้
ตามหลักของ อาจารย์ เออเนสท์ เดล Ernest Dale ที่มหาวิทยาลัย เพ็นซิลวาเนีย อธิบายลักษณะการตัดสินดังกล่าวไว้ ห้า แบบ ดังนี้
แบบดีเลิศ Ideal Decision-maker ผู้ที่ตัดสินใจแบบนี้ จะใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ในทุกๆทางมาเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ สมเหตุสมผล ตามข้อมูล สถิติ และ หลักฐานต่างๆที่สามารถรวบรวมได้เพื่อให้เกิดภาวการณ์ตัดสินใจที่สมบูรณ์ที่สุด
แบบยอมรับ Receptive decision-maker เป็นของผู้ตัดสินใจที่รับเอาผลสรุป รายงานและข้อเสนอแนะของผู้ใต้บังคับบัญชามาดำเนินการ โดยที่ตนเองไม่ต้องใช้ความคิดตัดสินใจด้วยตนเอง ถ้าข้อเสนอแนะนั้นดี ถูกต้อง ตรงไปตรงมา ก็จะบังเกิดผลดีต่อการบริหารและการดำเนินงาน แต่ถ้า เป็นไปในทางลบ ก็อาจทำให้เกิดผลร้าย เช่น ถ้าผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งใจจะประจบ มีอคติ หรือ มีความรู้ไม่จริงในเรื่องดังกล่าว ข้อเสนอแนะนั้นอาจไม่ถูกต้องและเป็นอันตรายต่อการนำไปใช้
แบบ กล้าหาญ Exploiting decision- maker ได้แก่ผู้ตัดสินใจที่ชอบขโมยความคิดใหม่ๆของผู้อื่นมาเป็นของตนเองแล้วบอกว่าเป็นความคิดของตนเอง ซึ่งมักจะเป็นที่รังเกียจ และ ไม่น่านับถือ แก่บุคคลอื่นๆในกลุ่มคนทำงาน เพราะแสดงให้เห็นว่า เป็นคนทุจริต และ ไม่จริงใจ
แบบสะสมCollection Decision-maker ผู้ตัดสินใจแบบนี้ใช้วิธีฉวยโอกาส ใช้วิธีการตัดสินใจแบบปะหน้าปะจมูก หรือใช้สถาการณ์แวดล้อมช่วยในการตัดสินใจ ทำให้การตัดสินเกิดความผิดพลาดได้ง่าย เพราะตนเองไม่รู้จริง เพียงแต่เออ ออ หรือ ใช้สิ่งแวดล้อมช่วยในการตัดสินใจ อันตรายมากแก่การนำไปใช้ และ มักจะโยนความผิดให้แก่คนอื่น หรือ สิ่งอื่นๆ ทำให้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังในการตัดสินใจครั้งต่อไป
แบบตลาด Market Decision-maker ผู้ตัดสินใจแบบนี้ ใช้วิธีการซักถามเอาจากหลายๆคนๆ โดยที่ตนเองก็ไม่มีความรู้ในด้านนั้นมากนั้น ทำให้ใช้วิธีการถามจากหลายๆคน แล้วเลือกจากคนที่ดูดี หรือ เลือกจากที่คนเห็นด้วยมากสุด อาจทำให้ผิดพลาดได้ และ ไม่เป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกน้องได้
การบริหารเวลาสำหรับผู้บริหารควรปฏิบัติดังนี้
1. จดบันทึกการใช้เวลาในแต่ละวัน
2. วางแผนงานล่วงหน้า ในแต่ละวัน
3. เพิ่มเวลา ถ้ารู้สึกว่าเวลามีไม่พอ
4. ตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
5. สร้าง To-Do List
6. มีแฟ้มงาน อย่าปล่อยให้ความคิดกระจัดกระจาย รีบเก็บๆๆๆ เข้ามาใส่ในแฟ้มชะ
7. ใช้โทรศัพท์ให้เป็น เสียงกริ๊งทุกสิบห้านาทีติดโผสาเหตุอันดับต้นๆ ที่มารบกวนทำงานของคุณ
8. ทุกคนมี "เวลาของตัวเอง" สังเกตให้ดีว่าช่วงเวลาใดที่สมองคุณรู้สึกปลอดโปร่ง
9. มีความรับผิดชอบ บริหารเวลาต้องเริ่มจากการจัดการตัวเองชะก่อน
ข้อเสนอแนะในการประยุกต์ใช้ต่อตนเอง และ หน่วยงาน
ตอบ ข้อเสนอแนะในการประยุกต์ใช้ต่อตนเอง
1. สามารถนำเอาทฤษฏีของผู้นำมาจัดการกับตนเองในเรื่องของการสั่งการเพื่อน การวางแผน การคิดแบบมีเหตุผล และบริหารจัดการครอบครัวอย่างมีแบบแผน
2.ช่วยให้กล้าคิดในการตัดสนใจในการดำเนินชีวิต
3.ช่วยในการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
4.สามารถขจัดความเครียดอันเนื่องมาจากงาน
5. ช่วยพัฒนาสมาธิ และสติ ให้คิดได้อย่างรอบคอบ
6.เกิดความรู้ทักษะในการบริหารงาน ในแต่ละวัน
7. เพิ่มพูนความมั่นใจในตนเองในการบริหารจัดการงานต่าง ๆ
8.มีความเข้มแข่งขึ้นหลังจากได้ศึกษาทฤษฏีเกี่ยวกับภาวะผู้นำ
9. กล้าพูด กล้าตัดสินใจ ในเรื่องที่ถูกต้อง
10. ทันเกมของการเมือง ในเรื่องของผู้นำและสามารถวิเคราะห์การทำงานของผู้นำในรัฐบาลได้ จากที่ไม่เคยสนใจเลย แต่ปัจจุบันเริ่มสนใจและวิเคราะห์ตามตลอดเวลา
การประยุกต์ใช้ต่อหน่วยงาน
1. สามารถช่วยในการบริหารจัดการในชั้นเรียนได้อย่างราบรื่น
2. สามารถช่วยเหลือผู้บริหารในการบริหารงานด้าน วิชาการและด้านอื่น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์
3. ลดความเครียดในการสอน นักศึกษา โดยใช้ทฤษฏีการจัดการความเครียด
4. มีมนุษยสัมพันธ์ต่อเพื่อนร่วมงาน และผู้บริหารเป็นอย่างดี
5.สมารถบริหารจัดการงานวิชาการอย่างเป็นระบบและถูกต้องที่สุด
6. ทำงานได้อย่างสบายใจ และ ได้มากกว่าเดิม โดยที่ไม่กลัวผิด
7. นำความรู้ที่ได้จากการเรียนมาถ่ายทอดให้ครูในโรงเรียนได้ปฏิบัติและทำตามโดยเฉพาะงานวิจัย
8. มีสมาธิและมีสติ ในการปฏิบัติงาน ในการสอนและการทำผลงานต่าง ๆ
9. ได้รับการเชื่อถือและเชื่อมั่นจากผู้บริหาร หลังจากที่เรียนแล้ว
10.ได้เป็นผู้นำในด้านต่าง ๆ ของโรงเรียนเช่น เป็นผู้นำทางด้าน กีฬา ผู้นำแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้นำการทำวิจัยในชั้นเรียนเป็นต้น
ข้อ 2. ให้ท่านเสนอประเด็นปัญหาที่ต้องการศึกษาค้นคว้า 1 ประเด็น แล้วสรุปประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา หรือ วิจัย เช่น ชื่อหัวข้อเรื่อง เหตุผลที่ศึกษา คำถามของการวิจัย วัตถุประสงค์ กรอบแนวคิด ศึกษากับใครที่ไหน ใช้เครื่องมืออะไร และผลที่คาดว่าจะได้รับ
ตอบ
ชื่อเรื่อง
คุณลักษณะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1
เหตุผลที่ศึกษา เพราะเกิดจาก
เนื่องจากผู้ตอบข้อสอบอยู่โรงเรียนเอกชน จังหวัดขอนแก่นก็เลยอยากทราบว่าผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี มีลักษณะของผู้นำทางวิชาการในการบริหารงานใกล้เคียงกับผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ขอนแก่นหรือไม่
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การจัดการศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญใน การพัฒนาคนมีส่วนช่วยให้คนมีคุณภาพสามารถเผชิญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบรูณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญาความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545
กำหนดว่า ผู้บริหารต้องมีความสามารถในการบริหารงานวิชาการและเป็นผู้นำทางวิชาการ (สำนักรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา. 2549 : 28) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้กำหนดเกณฑ์การประเมินผู้บริหารไว้ 3 เกณฑ์ หนึ่งในนั้นคือ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความเป็นผู้นำทางวิชาการ ได้แก่1. วิสัยทัศน์ในการจัดการศึกษาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง 2. ความเป็นผู้นำในการริเริ่มการใช้นวัตกรรมเพื่อการเรียนการสอน 3. ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมาใช้ในการปฏิรูปการเรียนรู้4. ศักยภาพในการพึ่งตนเองในการพัฒนางานวิชาการ5. การแสวงหาความรู้ใหม่ๆ มาปรับใช้ตลอดเวลา(ธีระ รุณเจริญ. 2546 : 25)
สำหรับการจัดการศึกษาที่ผ่านมาในปี พ.ศ. 2546มีสถานศึกษาเอกชนในประเทศไทยจำนวน 40 โรงต้องเลิกกิจการ (เยาวเรศ ตระกูลวีระยุทธ. 2547 : 2)สาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งคือ การบริหารสถานศึกษาที่ขาดประสิทธิภาพของสถานศึกษานั้นเป็นปัญหาสำคัญที่ผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนควรหาแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงเพื่อให้สถานศึกษามีคุณภาพและการเปลี่ยนแนวทางการบริหารตามการปฏิรูปในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 จำเป็นต้องมีผู้บริหารการศึกษาที่มีความรู้ มีบทบาทในการบริหารงานอย่างมีอิสระโดยมุ่งเน้นการส่งเสริมด้านวิชาการเป็นหลักสำคัญอันจะก่อให้เกิดความสำเร็จในการปฏิรูปการเรียนรู้ และปฏิรูปการการศึกษาโดยรวม ซึ่งบทบาทที่สำคัญอันดับแรก คือการเป็นผู้นำทางวิชาการ โดยให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิรูปการศึกษา (ธีระ รุณเจริญ. 2546 : 20)
สำหรับจังหวัดปทุมธานีมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ติดจังหวัดกรุงเทพมหานคร ในส่วนของผลสัมฤทธิ์นักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานปีการศึกษา 2548นั้นพบว่าอยู่ในระดับ... ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ส่งผลต่อเรื่องดังกล่าวคือ คุณลักษณะผู้นำในทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา เนื่องจากการเป็นผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา มีความสำคัญต่อการบริหารสถานศึกษาและส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของสถานศึกษา (จันทรานี สงวนนาม. 2545 : 138)จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาคุณลักษณะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1 ซึ่งผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสถานศึกษาเอกชน และเป็นข้อมูลในการเสริมสร้างสมรรถภาพในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาต่อไป
คำถามของการวิจัย
คุณลักษณะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1 ตามความคิดเห็น ของผู้เกี่ยวข้องแตกต่างกัน
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาคุณลักษณะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ระดับประถมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1 ตามทัศนะของผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้อง
2. เพื่อเปรียบเทียบความเห็นของผู้บริหาร และผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับคุณลักษณะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม
ศึกษากับใครที่ไหน คือ
ขอบเขตของการวิจัย
1. ขอบเขตของเนื้อหา
ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตเนื้อหาตาม คุณลักษณะผู้นำทางวิชาการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2545 (ธีระ รุณเจริญ. 2546 : 25) มี 5 ประการคือ 1. วิสัยทัศน์ในการจัดการศึกษาให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง 2. ความเป็นผู้นำในการริเริ่มการใช้นวัตกรรมเพื่อการเรียนการสอน 3. ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการปฏิรูปการเรียนรู้ 4.ศักยภาพในการพึ่งตนเองในการพัฒนางานวิชาการ 5. การแสวงความรู้ใหม่มาปรับใช้ตลอดเวลา
2. ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ศึกษา คือ ผู้บริหาร ผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาในสถานศึกษาเอกชน ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานีเขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ
1. ผู้บริหารสถานศึกษา เนื่องจากมีจำนวนไม่มากจึงใช้ประชากรทั้งหมดเป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน54 คน
2. ผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาใช้จำนวนตัวอย่างโดยใช้ตารางเคร็ซซี่และมอร์แกนที่ระดับความเชื่อมั่น 95% เมื่อคำนวณตามสัดส่วนแล้วจะได้กลุ่มตัวอย่างเป็น ผู้สอน 150 คน และคณะกรรมการสถานศึกษา 75 คน
เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย
แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับตำแหน่งของผู้ตอบแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบเลือกตอบ
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามที่ถามความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นแบบ ประเมินค่า 5 ระดับ
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. รู้ถึงคุณลักษณะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1 ตามความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง
2. ผลการวิจัยครั้งนี้ สามารถนำไปเป็นข้อมูลสารสนเทศในการปรับปรุงการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาได้ดียิ่งขึ้น
3. ผู้เกี่ยวข้องสามารถนำผลการวิจัยที่ได้ไปพัฒนาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1
ข้อ 3. ให้ท่านศึกษาบทความต่อไปนี้ แล้วตอบคำถามว่า ได้ข้อคิดอะไรบ้าง และมีสรุปว่าอย่างไร
ตอบ ข้อคิดที่ได้จากเรื่องผู้นำนักบริหาร สู่วิกฤติ
1. ได้รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารในประเทศไทยล้มเหลวเป็นอย่างมาก
2. ผู้นำไร้ประสิทธิภาพของการสั่งการ หรือสั่งงานทำให้ประเทศชาติย่ำแย่
3. วิกฤติ น้ำมันปาล์มแพงทำให้ประชาชนเดือนร้อน
4. ผู้นำขาดประสบการณ์ในการบริหารจัดการประเทศ ขาดความรู้ในบริบทของประเทศ
5. ผู้นำขาดคุณธรรม และเอาเปรียบประชาชน
6. ผู้นำทำงานล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ หรือไม่มีการคาดเดาก่อนล่วงหน้า ทำให้เกิดผลเสียต่าง ๆ ตามมามากมาย และไม่สามารถตามแก้ไขได้หมด
7.ผู้นำคิดเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชน
8. ผู้นำเอาแต่ตัวรอดไปวัน ๆ ไม่เคยคิดวางแผนพัฒนาประเทศในอนาคตเลย
9.ผู้นำไม่คิดเปลี่ยนแปลงตนเองทำให้สังคมเกิดความวุ่นวายในหลาย ๆ ด้าน
10. ผู้นำไม่เข้าใจปัญหาของประเทศที่แท้จริง เกิดความเสียหายแล้วมาตามแก้ไขปัญหาเอาทีหลัง
สรุปเรื่องผู้นำนักบริหารสู่วิกฤติ
สรุปจากการศึกษาบทความเรื่องผู้นำนักบริหาร สู่วิกฤติ พอจะสรุปได้ว่า คนที่เป็นผู้นำนั้น หากไม่เข้าใจ ทฤษฏี หลักการบริหาร ผู้นำ ภาวะผู้นำ และรวมไปถึงประสบการณ์ในการปฏิบัติงานแล้ว ย่อมก่อให้เกิดการบริหารจัดการที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน ดูได้จาก นายกคนปัจจุบันของประเทศไทย ที่ดำรงตำแหน่งอยู่นั้น เกิดแต่ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการก่อจลาจนเผาเมือง การสั่งการเรื่องน้ำมันปาล์ม กรณีเขาพระวิหาร การปฏิรูปการศึกษา การแก้ระบบสารธารณสุข และ การรักษาพยาบาล นั้น ล่าช้า และเกิดความเสียหายไปหมด ไม่เข้าใจถึงปัญหาอย่างแท้จริง
ผู้นำ จะต้องมี คุณลักษณะพื้นฐานที่สำคัญคือ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีไหวพริบดี มีความสามารถในการวิเคราะห์ มีความคิดริเริ่ม และเป็นผู้รอบรู้ เป็นแก่เพื่อนร่วมงาน และเชื่อถือไว้วางใจได้ ตัดสินใจแน่นอน และเป็นผู้รอบรู้ เป็นที่พึ่งแก่เพื่อนร่วมงาน และเชื่อถือไว้วางใจได้ ตัดสินใจแน่นอน ไม่รวนเร รู้จักปรับตัว และเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม จิตใจมั่นคง ไม่เอาแต่อารมณ์ของตนเป็นใหญ่ มีคุณลักษณะและความประพฤติส่วนตัวที่ดี มีคุณลักษณะของผู้นำ เป็นต้น ถ้าหาผู้นำของประเทศไทยปฏิบัติตนได้แบบดังที่กล่าวมาแล้ว จะทำให้เชื่อมั่นได้ว่า ประเทศไทยอยู่อย่างสงบสุขอย่างแน่นอน