บทที่ 1 บทนำ

บทที่ 1

บทที่ 1
บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

               การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการเรียนรู้จากการดำเนินชีวิตในแต่ละวันและเป็นการเรียนรู้ตามความสนใจของมนุษย์โดยแท้ ไม่มีระบบหรือระเบียบตายตัวหากปรับเปลี่ยนไปตามความสนใจของแต่ละบุคคลนั้น (รุ่ง แก้วแดง,  2538) การศึกษาตามอัธยาศัยเป็นวิถีการเรียนรู้ของไทยในอดีตและยังมีความสอดคล้องกับการศึกษาของไทยในปัจจุบันด้วยดั่งที่รัฐธรรมนูญแห่งชาติราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช 2550 ได้กล่าวไว้ในหมวด 3 ระบบการศึกษา ในมาตรา 15 การจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม สื่อ หรือแหล่งความรู้อื่น ๆ สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือทั้งสามรูปแบบก็ได้ (คลังปัญญาไทย... : เว็บไซต์) และยังได้ให้ความสำคัญในเรื่องศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยกำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 46 มาตรา 69 มาตรา 81 และมาตรา 289 ตามลำดับ
               พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ..2542 ได้กำหนดให้กระบวนการเรียนรู้ต้องส่งเสริม ศิลปะ วัฒนธรรม การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และการบูรณาการในเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม
ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาและยังกำหนดให้มีการนำประสบการณ์ ความรอบรู้ ความชำนาญ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของบุคคลมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษาและยกย่องเชิดชูผู้ที่ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาไว้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,  2544)
                พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.. 2551 มาตรา  6 ระบุว่าการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ให้ยึดหลักดังนี้  1)  การเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความสนใจและวิถีชีวิตของผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย 2)  การพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ให้มีความหลากหลายทั้งส่วนที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและส่วนที่นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการศึกษา 3)  การจัดกรอบหรือแนวทางการเรียนรู้ที่เป็นคุณประโยชน์ต่อผู้เรียนและ มาตรา 8 บัญญัติว่าการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาตามอัธยาศัย ให้ดำเนินการเพื่อเป้าหมายดังต่อไปนี้  1) ผู้เรียนได้รับความรู้และทักษะพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ที่จะเอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2) ผู้เรียนได้เรียนรู้สาระที่สอดคล้องกับความสนใจและความจำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม  3) ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์และเทียบโอนผลการเรียนกับการศึกษาในระบบและการศึกษานอกระบบ (ศูนย์ทนายความทั่วไทย,   2553 : เว็บไซต์)
                แก่นสารของการศึกษาตามอัธยาศัยย่อมเน้นความสำคัญของภูมิปัญญาโดยเฉพาะภูปัญญาไทยซึ่งหมายถึง ความสามารถ องค์ความรู้ และประสบการณ์ของคนไทย ที่ได้สั่งสมมาสืบทอดกันมา เอื้ออำนวยให้แก้ปัญหาได้ และใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่นและเหมาะสมกับกาลสมัย (ชัยวัฒน์ ขำหินตั้ง,  2547) สำหรับการถ่ายทอดและสืบทอด ภูมิปัญญาไทยเพื่อรับใช้สังคมสมัยใหม่ในยุคปัจจุบันบนฐานศิลปะ วัฒนธรรมไทยในยุคปัจจุบันนั้น กระทำ ได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากได้ขาดช่วงการสืบทอดภูมิปัญญา ตั้งแต่ประเทศไทยรับภูมิปัญญาสากลเข้ามาเป็นกระแสหลักในการเรียนรู้ในระบบการศึกษา  ดังนั้นภูมิปัญญาไทยโดยเฉพาะในส่วนของการศึกษาพื้นบ้าน ได้ถูกตัดออกจากการศึกษาเรียนรู้ในวิถีชุมชนจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว แม้ปัจจุบันได้มีความพยายามสืบค้น พัฒนาและถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยเป็นอย่างมากแล้วก็ตาม ภูมิปัญญาไทยก็ยังไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืนมาให้สืบทอดได้อย่างทัดเทียมกับภูมิปัญญาสากลแต่ประการใด ทั้งนี้เนื่องจากภูมิปัญญาทั้งภูมิปัญญาชาวบ้าน ภูมิปัญญานิรนาม และภูมิปัญญาไทยได้สูญหายไปแล้วจำนวนมาก ส่วนที่เหลือในขณะนี้ก็อยู่ในภาวะที่เสี่ยงกับการสูญหายเนื่องจากอายุขัยของผู้ทรงภูมิปัญญาที่สืบทอด (สามารถ จันทร์สูรย์ และประทีป อินแสง,  ...)            
                แต่ในขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศได้ส่งผลให้ชาวไทยบางกลุ่มต้องประสบกับภาวะล้มละลาย เกิดความเสื่อมถอยทางด้านคุณธรรม จริยธรรมและกระทบต่อโครงสร้างโดยรวมของสังคม ก็ยังมีประชาชนชาวไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมจำนนต่อวิกฤตการณ์ดังกล่าวตรงกันข้ามเขาเหลานี้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ และดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข กล่าวได้ว่าบุคคลกลุ่มนี้ได้ใช้ภูมิปัญญาไทย ที่คนไทยได้คิดค้น เรียนรู้ สั่งสม กลั่นกรองและทดลองใช้จนตกผลึก สามารถนำความรู้นั้นมาแก้ปัญหาของตนเองและสังคม  สถาบันการเรียนรู้ของชุมชนนี้อาจมีชื่อเรียกในรูปแบบที่แตกต่างกันอาทิ มหาวิทยาลัยชาวบ้าน มหาวิทยาลัยธรรมชาติ ศูนย์การเรียนรู้ เครือข่าย ศูนย์ และกลุ่ม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ จึงได้เล็งเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาและการสืบสานภูมิปัญญาไทย จึงได้จัดทำนโยบายส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษาขึ้น โดยได้ผ่านความเห็นชอบจากมติคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2542 ในนโยบายดังกล่าวได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า  "ภูมิปัญญาไทยจะได้รับการฟื้นฟูและนำมาปรับใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลง(สำนักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,  2545)
                หนึ่งในกลุ่มที่ยึดมั่นในภูมิปัญญาไทยตามนัยนี้ คือศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของ
แม่ครูราตรี ศรีวิไล ซึ่งเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาด้านศิลปกรรม (การแสดงพื้นบ้าน หมอลำซิ่ง) เป็นผู้สร้างสรรค์และสืบสานภูมิปัญญาดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตลอดมา จนเป็นที่ยอมรับของสังคมและชุมชน จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียติจาก สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักงานนายกรัฐมนตรีให้เป็นครูภูมิปัญญาไทยเพื่อทำหน้าที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาในการจัดการศึกษาทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ยกย่องให้เป็นครูภูมิปัญญาไทยรุ่นที่ ด้านศิลปกรรม (การแสดงพื้นบ้านหมอลำซิ่ง) (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,  2544)
                จากอดีตที่ผ่านมาหมอลำของอีสานได้ซบเซาลงอย่างมากแม่ครูราตรี ศรีวิไลซึ่งเป็นครูต้นฉบับหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) ได้ยืนหยัดทุ่มเททางด้านการเผยแพร่หมอลำมาโดยตลอดจนกระทั้งเมื่อปี พ.. 2552 หมอลำได้ถูกประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมซึ่งได้มีการนำมาจัดประชุมสัมนาทางวิชาการหมอลำขึ้นในหัวข้อโครงการ มหกรรมสืบสานฮีตฮอยหมอลำ เฉลิมพระเกียรติ ฯ 84 พรรษาซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ 4-5 มิถุนายน 2554  ในการประชุมวิชาการได้กล่าวว่าองค์ความรู้ดั้งเดิมของไทยกำลังจะสูญหายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม การพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การท่องเที่ยวที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น การโยกย้ายถิ่นของชาวชนบทเข้าสู่เมืองใหญ่และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมซึ่งบริบทที่เปลี่ยนไปดังกล่าวมีผลกระทบต่อผู้ปฏิบัติและการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม จึงเป็นมาตรการสำคัญที่มุ่งส่งเสริมการตระหนักถึงคุณค่าอันโดดเด่น ยกย่ององค์ความรู้และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษส่งเสริมศักดิ์ศรีทางวัฒนธรรม และเอกลักษณ์ของกลุ่มชนที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเกิดการยอมรับในความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งนี้ เพื่อปูทางไปสู่การ อนุรักษ์ สร้างสรรค์ พัฒนา และสืบทอดอย่างเป็นระบบและยังยืนต่อไป ศิลปะการแสดงที่ประกาศขึ้นทะเบียนประจำปี พ.. 2552 นั้นมีการแสดงสาขาเพลงพื้นบ้านของภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมอยู่ด้วยถึง 3 ประเภท ได้แก่ หมอลำพื้น หมอลำกลอน และลำผญา หมอลำทั้ง 3 ประเภทในขณะนี้ได้มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับชาติไปแล้ว (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, 2554)
จากสภาพการที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการจัดตั้งศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยด้านศิลปกรรมการแสดงพื้นบ้าน (หมอลำ) แม่ครูราตรี ศรีวิไล มีความเกี่ยวโยงกับนโยบายของรัฐบาล และสนองนโยบาย ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล มีหลากหลายสาขา ทั่วประเทศไทย และมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ของภูมิปัญญา  ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรีศรีวิไลแห่งนี้ เป็นคลังสมองหรือคลังแห่งความรู้ที่รวบรวมข้อมูลทางทฤษฎี และทางปฏิบัติในด้านศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน เช่น การแสดงหมอลำกลอน หมอลำกลอนประยุกต์ (ลำซิ่งหมอแคน ดนตรีประกอบลำ และการประพันธ์กลอนลำ (หมอลำราตรี ศรีวิไล,  ...) ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล จึงได้เกิดขึ้น และได้อยู่ในประเภท ศูนย์การเรียนครูเจ้าสำนัก  การถ่ายทอดภูมิปัญญาที่เด่นชัดที่สุดคือ การถ่ายทอดโดยบุคคลซึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ชำนาญให้แก่บุคคลอื่น ลูกศิษย์อาจเป็นลูกหลานหรือผู้สนใจสมัครเป็น ศิษย์ครูเองก็ได้รับการถ่ายทอดจาก ครูของตนมาในลักษณะเดียวกันทำให้เกิดความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ จนได้เป็นแบบอย่าง (สำนักคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,  2545)
                ดังนั้นแนวทางวิธีการจัดตั้ง และการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลจึงเป็นประเด็นที่มีความสำคัญและน่าศึกษาวิจัยอย่างยิ่ง ในเบื้องต้นสามารถแบ่งประเด็นของการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ได้เป็น 6 ประเด็น คือ        1) องค์กรและการบริหารจัดการ 2) บุคลากร 3) งบประมาณ 4) ผู้เรียน 5) กิจกรรมการเรียนการสอน  และ 6) ผลกระทบต่อสังคม
                ยิ่งกว่านั้นชีวประวัติ และผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ก็เป็นอีกประเด็นที่ควรศึกษาเพราะถ้าหากขาดประเด็นเหล่านี้ก็อาจจะไม่มีศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในส่วนนี้มีประเด็นสำคัญอย่างน้อย 6 ประเด็น คือ 1) ชีวประวัติ และผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไล 2) จุดเปลี่ยนของหมอลำในสังคมไทยถิ่นอีสาน 3) ลูกศิษย์ที่ประสบผลสำเร็จในการเรียนหมอลำจากแม่ครูราตรี ศรีวิไล 4) การสอนหมอลำของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย 5)การแต่งกลอนลำ และ 6) การบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ทั้ง 6 ประเด็นนี้ หล่อหลอมให้เกิด ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย แม่ครูราตรี ศรีวิไล”  มีกระบวนการจัดการเรียนรู้  มีการวัดผลประเมินผลหลังการเรียน จนกลายเป็นศูนย์การเรียนแบบ การศึกษาตามอัธยาศัย มาจนถึงปัจจุบัน
                จากสภาพและเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจเรื่องการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ) ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล เพื่อทราบถึงการดำเนินการของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย  การบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ความสำเร็จในการเรียนตามอัธยาศัยของลูกศิษย์ที่มาเรียน และอยากทราบถึงข้อมูลชีวประวัติของแม่ครูราตรี ศรีวิไลในเชิงลึก ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความมุ่งมั่นมานะสามารถอนุรักษ์ศิลปะ วัฒนธรรมของไทยถิ่นอีสานไว้โดยการปรับเปลี่ยนประยุกต์ศิลปะการแสดงพื้นบ้านไทยถิ่นอีสาน หมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง)ให้เข้ากับยุคสมัยจนได้เป็น ครูภูมิปัญญาไทยผู้ให้กำเนิดศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยด้านศิลปกรรมพื้นบ้านการแสดง (หมอลำ) ที่เป็นต้นแบบหรือนวัตกรรมที่สำคัญยิ่งในวงการศึกษาไทยในปัจจุบัน

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

                การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์ในการเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยได้กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ดังนี้
                1. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
                2. เพื่อศึกษาชีวประวัติและผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้ง และการดำเนินการตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                3. เพื่อศึกษาหาแนวทางอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ)

ขอบเขตของการวิจัย



                การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยแบบผสมทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพได้กำหนดขอบเขตของการวิจัยไว้ดังนี้
                1. เนื้อหาของการวิจัยได้แก่ ชีวประวัติผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล และแนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ)
                2. กลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่าง และกลุ่มเป้าหมาย
                   2.1  ประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงปริมาณ
                         2.1.1  ประชากร ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล จำนวน 160 คน จำแนกเป็น ครอบครัวแม่ครูราตรี ศรีวิไล จำนวน 3 คน คณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์การเรียน ฯ จำนวน 7 คน ลูกศิษย์ จำนวน 67 คน              ครู-อาจารย์ จำนวน 13 คน และบุคคลอื่น ๆ จำนวน 70 คน
                         2.1.2  กลุ่มตัวอย่าง มีจำนวนรวม 113 คน ประกอบด้วย สมาชิกครอบครัว
แม่ครูราตรี ศรีวิไล จำนวน 3 คน คณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์การเรียน ฯ จำนวน 7 คน ลูกศิษย์ จำนวน 67 คน ครู-อาจารย์ จำนวน 10 คน และบุคคลอื่น ๆ จำนวน 26 คน กำหนดจำนวนตัวอย่างโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejcie & Morgan และใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) (ทิพยา กิจวิจารณ์,  2552)
                         2.1.3  ตัวแปรที่ศึกษาในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยมี 6 ประเด็น ดังนี้ประกอบด้วย                                

                                1)  ด้านองค์กรและการบริหารจัดการ
                                2)   ด้านบุคลากร
                                3)   ด้านงบประมาณ
                                4)   ด้านผู้เรียน
                                5)   ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน
                                6)   ด้านผลกระทบต่อสังคม
                        2.1.4  ระยะเวลาในการวิจัย ระหว่างเดือนมิถุนายน  2554 ถึง เดือนตุลาคม 2554
                      2.2  กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ ผู้ให้ข้อมูลชีวประวัติและผลงานของ
แม่ครูราตรี ศรีวิไล และแนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน
(หมอลำ) ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) รวมจำนวนทั้งหมด 15 คน ประกอบด้วย
                            1ผู้ให้ข้อมูลหลัก (แม่ครูราตรี ศรีวิไล) จำนวน 1 คน
                            2)  ครอบครัวแม่ครูราตรี ศรีวิไล จำนวน 2 คน
                            3)  คณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์การเรียน ฯ จำนวน 5 คน
                            4)  ลูกศิษย์ จำนวน 5 คน
                            5)  บุคคลอื่น ๆ จำนวน 2 คน
                     
   2.2.1  ประเด็นที่ศึกษาในการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย
                                1
ชีวประวัติ และผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                               
2)  จุดเปลี่ยนของหมอลำในสังคมไทยถิ่นอีสาน
                                3
ลูกศิษย์ที่ประสบผลสำเร็จในการเรียนหมอลำจากแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                                4
การสอนหมอลำของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                                5
การแต่งกลอนล
                                6
การบริหารจัดการในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

                1.  ได้ทราบถึงความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
                2.  ได้ทราบถึงชีวประวัติและผลงานแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในการต่อสู้ชีวิตจนประสบผลสำเร็จจนได้เป็นครูภูมิปัญญาไทย และการบริหารจัดการในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของ
แม่ครูราตรี ศรีวิไล
                3.  ได้แนวทางในการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้าน (หมอลำ) และเป็นข้อมูลสนเทศในการวางแผนการถ่ายทอดวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสานเผยแพร่หน้าเว็บ

นิยามศัพท์เฉพาะ

                1. การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง เป็นกระบวนการตลอดชีวิต ซึ่งบุคคลแต่ละคนแสวงหาความรู้พัฒนาทักษะค่านิยมและสร้างเสริม ทักษะจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันโดยอาศัยแหล่งวิทยาการที่มีอยู่ใกล้ตัว ตามสภาพแวดล้อมสามารถแสวงหาเลือกเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เช่นศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                 2. การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง การปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล และการบริหารจัดการตามแผนที่วางไว้ โดยแบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่
    2.1 ด้านองค์กรและการบริหารจัดการ
       1) องค์กรหมายถึง การรวบกลุ่มกันของบุคคลหลาย ๆ กลุ่มเข้าด้วยกัน แล้วจัดตั้งให้เป็นสถาบันหรือศูนย์การเรียน ฯ ขึ้นโดยมีการทำเป็นกระบวนการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
       2) การบริหารจัดการ หมายถึง กระบวนการบริหารจัดการของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยมีการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายขององค์กรโดยใช้บุคคลและทรัพยากร อื่น ๆ จากการทำงานร่วมกันในกลุ่มให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
    2.2 ด้านบุคลากร หมายถึง ผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ มีหน้าที่รับคำสั่งจากผู้บริหารศูนย์ ฯ และนำคำสั่งนั้นไปปฏิบัติ
    2.3 ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน หมายถึงกระบวนการเรียนการสอนที่แม่ครู
ราตรี ศรีวิไลได้ทำการจัดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ โดยการจัดบรรยากาศบริเวณสถานที่เรียนให้เหมาะสมน่าเรียน และนำเทคนิควิธีการต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการสอน
    2.4 ด้านผู้เรียน หมายถึง ผู้ที่เป็นนักเรียน นักศึกษา นิสิต ที่เรียนอยู่ในสถาบันการศึกษาทุกแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมไปถึงบุคคลทั่วไป เช่น ครู บุคคลที่มีอาชีพแล้ว บุคคลที่ยังไม่มีอาชีพและไม่ได้เรียนหนังสือ เป็นต้น ได้มาเรียนในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของ
แม่ครูราตรี ศรีวิไล
    2.5 ด้านงบประมาณ หมายถึง บัญชีเงินรายรับ หรือรายจ่ายที่มีการวางแผนอย่างเป็นกระบวนการที่แสดงอยู่ในรูปแบบของเงิน ของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                    2.6 ด้านผลกระทบต่อสังคม หมายถึง การเรียนการสอนหมอลำ การเผยแพร่กลอนลำของแม่ครูราตรี ศรีวิไล การอนุรักษ์สืบสานภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน และการเปิดศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ เป็นต้น
                3. ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ความสามารถในการดำเนินหรือดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่
นั้น ๆ โดยใช้สติปัญญาสั่งสมความรู้ด้วยตนเองอย่างหลากหลาย ผสมผสานความกลมกลืนระหว่างศาสนา สภาพภูมิอากาศ สภาพแวดล้อมการประกอบอาชีพ และกระบวนการเหล่านี้ได้ต่อเนื่องกันมาจนหลายชั่วอายุคน
4. ศูนย์การเรียน หมายถึง สถานที่จัดการศึกษาตามอัธยาศัย (Non-formal Education System) บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา และสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด เช่นศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นต้น
5. ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล หมายถึง การจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับ
ภูมิปัญญาไทยถิ่น (อีสาน) อันได้แก่ ความรู้ในการเข้าใจชีวิตธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สังคม และความรู้ในการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยด้านศิลปกรรมการแสดงพื้นบ้าน (หมอลำ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ของภูมิปัญญา ทางปฏิบัติในด้านศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน (การแสดงหมอลำกลอน ลำซิ่ง หมอแคน ดนตรีประกอบลำ รวมทั้งการประพันธ์กลอนลำ)จัดอยู่ในรูปแบบของการถ่ายทอด ให้ผู้ศึกษาได้เกิดความรู้ นำไปปฏิบัติเป็นอาชีพ มีงานทำตลอดจนการสืบสานและเผยแพร่ต่อไป
6. แนวทางการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน หมายถึง กิจกรรมที่เสริมสร้างของการแสดงหมอลำของแม่ครูราตรี ศรีวิไล และกิจกรรมของผู้เรียนในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ข้อมูลการแสดงหมอลำ สื่อกลอนลำในศูนย์การเรียน ฯ เป็นข้อมูลที่สามารถอธิบายถึงปรากฏการณ์ แนวทางของการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน
7. ชีวประวัติแม่ครูราตรี ศรีวิไล คือ ชีวประวัติของแม่ครูราตรี ศรีวิไลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
   7.1 ชีวประวัติ แม่ครูราตรี ศรีวิไล หมายถึง ข้อมูลตั้งแต่เกิดจนกระทั้งจนถึงปัจจุบันของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
   7.2 ประวัติการศึกษา แม่ครูราตรี ศรีวิไล หมายถึง ข้อมูลประวัติการศึกษาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
   7.3 ผลงานแม่ครูราตรี ศรีวิไล หมายถึง การแต่งกลอนลำ การแสดงหมอลำ การสอน
หมอลำ เป็นต้น
   7.4 แรงบันดาลใจ หมายถึง สิ่งที่กระตุ้นหรือสิ่งเร้าภายในจิตใจ ที่สั่งให้กระทำ เช่น ประกวดหมอลำกลอนชนะครั้งแรก เป็นความประทับใจ และพยามฝึกซ้อมอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อการประกวดครั้งต่อไป เป็นต้น
   7.5 ความรู้/ปัญญา หรือหลักญาณวิทยา  (Epistemology) เช่น การแต่งกลอนลำของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
   7.6 จุดเปลี่ยนของหมอลำ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสภาพทางสังคมวัฒนธรรมซึ่งก่อให้เกิดเปลี่ยนแปลง จากหมอลำกลอนกลายมาเป็นหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง)
   7.7 ลูกศิษย์ที่ประสบผลสำเร็จ หมายถึง นักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน ประชาชนที่เรียนหมอลำ เรียนแต่งกลอนลำ กับแม่ครูราตรี ศรีวิไลจนสามารถนำความรู้นั้นไปประกอบอาชีพได้
                8. ครอบครัวแม่ครูราตรี ศรีวิไล หมายถึง สามี ลูกสาว ลูกชาย  ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ตามหลักชาติพันธุ์วิทยา (Genrlogy)
                9. คณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์การเรียนฯ หมายถึง ผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่าง ๆในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยโดยถูกแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยที่ทำหน้าที่ในปีพ.. 2554
                10. ลูกศิษย์ หมายถึง ผู้ที่เรียนในหลักสูตรหมอลำ และหลักสูตรแต่กลอนลำที่ศูนย์การเรียนแม่ครูราตรี ศรีวิไล จนสามารถนำความรู้ที่เรียนไปประกอบอาชีพได้ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งศูนย์ ปีพ.. 2547 ถึงปัจจุบัน ปีพ.. 2554
                11. ครู อาจารย์ ได้แก่ ผู้ที่สอนอยู่ในโรงเรียน และสอนอยู่ในมหาวิทยาลัย ทั้งของรัฐ และเอกชนที่สนใจในการเรียนหมอลำ เรียนแต่งกลอนลำ นำข้อมูลไปทำการวิจัย และให้การสนับสนุนศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยแม่ครูราตรี ศรีวิไล ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งศูนย์ ปีพ.. 2547 ถึงปัจจุบัน
ปีพ.. 2554
                12.  บุคคลอื่น ๆ ได้แก่ นักเรียน นักศึกษา ผู้ที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ผู้มีอาชีพ  ผู้ไม่มีอาชีพ ที่สนใจอยากเรียนหมอลำ เรียนแต่งกลอนลำ รวมไปถึงบุคคลทั่วไปให้การสนับสนุนศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งศูนย์ ปีพ.. 2547 ถึงปัจจุบัน ปีพ.. 2554