บทที่ 6 สรุปผลการวิจัย

                                                                                                    บทที่ 6

                                                                                           สรุปผลการวิจัย

               การศึกษาวิจัยเรื่อง การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของ
แม่ครูราตรี ศรีวิไล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยได้นำเสนอในบทนี้ตามประเด็นดังต่อไปนี้                
                1.  วัตถุประสงค์ของการวิจัย
                2.  สรุปผลการวิจัย
               3.  อภิปรายผล
               4.  ข้อเสนอแนะ

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

                1. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
                2. เพื่อศึกษาชีวประวัติและผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้ง และการดำเนินการตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                3. เพื่อศึกษาหาแนวทางอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ)

สรุปผลการวิจัย

               1. การศึกษาความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นการสรุปผลวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยได้นำวัตถุประสงค์ของการวิจัยมาเป็นแนวทางในการสรุปผล ดังนี้
               การศึกษาวิจัยความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล พบว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่ครูราตรี ศรีวิไล มีจำนวน 113 คน มีครอบครัวแม่ครูราตรี ศรีวิไล จำนวน 3 คน คณะกรรมการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ จำนวน 7 คน ลูกศิษย์ จำนวน 67 คน ครู-อาจารย์ จำนวน 10 คน และบุคคลอื่น ๆ จำนวน 26 คน รวมทั้งหมดจำนวน 113 คน ผลจากการศึกษาวิจัยจากแบบสอบถามที่ถามกับกลุ่มประชากรตัวอย่าง      113 คน เกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน     ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล พบว่า ในจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 113 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 57.5) อายุระหว่าง 18-35 ปี (ร้อยละ52.2) เป็นลูกศิษย์ (ร้อยละ 59.0) และการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 45.1)
                สรุปผลความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ทั้ง 6 ด้าน คือ 1) ด้านองค์กรและการบริหารจัดการ 2) ด้านบุคลากร 3) ด้านงบประมาณ 4) ด้านผู้เรียน 5) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 6) ด้านผลกระทบต่อสังคม พบว่า ความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อศูนย์การเรียน ฯ มีความเห็นว่า มีการดำเนินการในระดับปานกลางถึงมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายด้าน เมื่อพิจารณาในรายด้าน พบว่า มีการดำเนินการสูงสุดในด้านองค์กรและการบริหารจัดการ รองลงมาได้แก่ ด้านผู้เรียน ด้านผลกระทบต่อสังคม และด้านที่ดำเนินการต่ำสุด คือ ด้านงบประมาณ
               เมื่อพิจารณาความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลในแต่ละด้าน พบว่า
                        1.1 ด้านองค์กรและการบริหารจัดการ จากความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเห็นว่า การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลในด้านองค์กรและการบริหารจัดการ มีการดำเนินการในระดับมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อเมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ การวางแผนในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย อย่างเป็นระบบชัดเจน รองลงมาได้แก่ การวางแผนจัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สถานที่ และกิจกรรมต่าง ๆให้สอดคล้องกับหน้าที่ของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ การกำกับติดตามประเมินผลศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ตลอดเวลาในการปฏิบัติงาน และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ การคัดเลือกบุคคลให้มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งอย่างชัดเจน
                        1.2  ด้านบุคลากร จากความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเห็นว่าการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในด้านบุคลากร มีการดำเนินการในระดับมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ บุคลากรมีขวัญและกำลังใจในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ รองลงมาได้แก่ บุคลากรมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและช่วยให้ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ บรรลุเป้าหมาย บุคคลากรมีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯและข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ บุคลากรมีความสามัคคีกันดีในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
                        1.3  ด้านงบประมาณ จากความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเห็นว่าการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในด้านงบประมาณ มีการดำเนินการในระดับปานกลาง ทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ รายได้จากการจัดกิจกรรมของศูนย์ ฯ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ งบประมาณที่รัฐจัดให้มีความเพียงพอในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
                        1.4  ด้านผู้เรียน จากความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเห็นว่าการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในด้านผู้เรียน มีการดำเนินการในระดับมากถึงมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ ผู้เรียนต้องการเรียนเพิ่มเติมนอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียน (การศึกษาในระบบ) รองลงมาได้แก่ ผู้เรียนเห็นความสำคัญของการสอนหมอลำในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ผู้เรียนได้ประโยชน์จากการเรียนที่ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ ผู้เรียนมีความพร้อมในด้านเวลาของการมาเรียนที่ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย
                        1.5  ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน จากความคิดเห็นของการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในด้านกิจกรรมการเรียนการสอน มีการดำเนินการในระดับมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ มีการเสริมแรงจูงใจในขณะที่สอนอยู่ตลอดเวลา รองลงมาได้แก่ มีการแยกความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนการสอน ผู้เรียนรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้มาเรียนอย่างใกล้ชิดกับครูภูมิปัญญาไทย ฯ และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ การจัดการเรียนการสอนมีระบบและเป้าหมายที่ชัดเจน
                        1.6  ด้านผลกระทบต่อสังคม จากความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความคิดเห็นของการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในด้านผลกระทบต่อสังคม มีการดำเนินการในระดับมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลช่วยในการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านของหมอลำอีสานไว้รองลงมาได้แก่ แม่ครูราตรี ศรีวิไลเป็นผู้ที่ช่วยสืบสานภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสานให้มีชีวิตชีวาและยั่งยืนต่อไป กลอนลำของแม่ครูราตรี ศรีวิไลที่ได้รับการเผยแพร่ในรูปแบบของสื่อต่างๆ เป็นส่วนซึ่งทำให้ศิลปะหมอลำดำรงอยู่ได้และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ แม่ครูราตรี ศรีวิไลทำให้คนทั่วไปเห็นความสำคัญของหมอลำ

                2. การศึกษาชีวประวัติและผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไลโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้ง และการดำเนินการตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล เป็นการสรุปผลวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยได้นำวัตถุประสงค์ของการวิจัยมาเป็นแนวทางในการสรุปผล ดังนี้


                   2.1 ด้านชีวประวัติและผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไล จากการวิจัยพบว่า
               แม่ครูราตรี ศรีวิไล เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2495 อำเภอโกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เดิมชื่อ นางราตรีสวัสดิ์ อุ่นทะยา ภายหลังได้เปลี่ยนเป็น ราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร บิดาชื่อนายเสริม นาห้วยทราย มารดาชื่อ นางหมุน นาห้วยทราย มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน และได้สมรสกับ นายวิชิต บงสิทธิพร มีบุตรด้วยกัน 2 คน การศึกษาสายสามัญจบการศึกษาในหลักสูตรระดับปริญญาโท สาขาดุริยางค์ศิลป์ วิชาเอกหมอลำ ที่วิทยาลัยดุริยางค์ศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม การศึกษาสายวิชาชีพ ได้ศึกษาวิชาชีพหมอลำกลอน และการแต่งกลอนลำ จากบิดา มารดา พี่ชาย และพี่สาว ส่วนหมอลำหมู่หรือหมอลำเรื่องต่อกลอนนั้นเรียนกับครูสง่าจิต  และเรียนลำกลอนประยุกต์ (ลำซิ่ง)จากพี่ชาย และประสบการณ์ของตนเอง
               แรงบันดาลใจที่ทำให้แม่ครูราตรี ศรีวิไล ได้ยึดอาชีพหมอลำ และอาชีพนักแต่งกลอนลำ เกิดจากความใฝ่ฝันอยากเป็น ศิลปิน ครูสอนหมอลำ และนักแต่งกลอนลำ ที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับ บิดา มารดา พี่ชาย และพี่สาว ประกอบกับเป็นผู้ที่สนใจทางด้านศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย จึงเกิดแรงกระตุ้นให้มีความมุ่งมานะ ฝึกอบรม ทั้งทางด้านการแสดงหมอลำ  และการแต่งกลอนลำ โดยทำการสังเกตวิธีการเรียนรู้ เนื้อหา และขั้นตอน ของการแต่งกลอนลำอยู่เป็นประจำ จนสามารถแต่งกลอนลำได้ดีขึ้นตามลำดับ ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ของกลอนลำ โดยมี บิดา มารดา และพี่ชาย คอยตรวจสอบบทกลอนลำให้ทุกบทกลอน จนสามารถแต่งกลอนำให้กับตนเอง และลูกศิษย์ได้นำไปใช้ในการประกวดแข่งขัน จนได้รับรางวัลชนะเลิศอย่างมากมาย โดยเฉพาะกลอนลำที่เกี่ยวกับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวสารให้กับสังคม ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ และเป็นแรงสนับสนุนกระตุ้นให้แม่ครูราตรี ศรีวิไล ได้แต่กลอนลำเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
               ต่อมาสังคมไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ) ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจากหมอลำกลอนย้อนยุค หมอลำหมู่หรือลำเรื่องต่อกลอน สุดท้ายพัฒนามาเป็น หมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) ยุคของหมอลำที่ทำให้แม่ครูราตรี ศรีวิไล มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ เมื่อปีพ.. 2529 เป็นยุคหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) เพราะได้เป็นผู้ค้นคิด และก่อตั้งขึ้นมาร่วมกับพี่ชาย แม่ครูราตรี ศรีวิไลได้สอนหมอลำให้แก่ลูกศิษย์จนประสบผลสำเร็จ และได้นำความรู้ที่ได้จากการเรียนหมอลำไปใช้ในการประกอบอาชีพเลี้ยงตนเอง
               จนกระทั้งเมื่อ ปีพ.. 2547 แม่ครูราตรี ศรีวิไลได้ก่อตั้งศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยขึ้น โดยได้มีการแบ่ง วิธีการสอนออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ  1) ส่วนของเนื้อหาการถ่ายทอดความรู้ เช่น ความสำคัญของหมอลำ ความเป็นมาของหมอลำกลอน และความเป็นมาของหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) เป็นต้น และ 2) ส่วนของการถ่ายทอดความรู้ เช่น การฝึกลำตามเนื้อหาที่มอบให้ ฝึกการบริหาร คน และเวลาที่เจ้าภาพนัดหมาย ฝึกแต่งกลอนลำและการพลิกแพลงการลำสด เป็นต้น ขั้นตอนของการสอนหมอลำกลอนนั้น  โดยเริ่มจากให้ลูกศิษย์ทำการวิเคราะห์สุนทรียภาพด้านเนื้อหาของกลอนลำ วิเคราะห์รูปแบบฉันทลักษณ์ของกลอนลำ และวิเคราะห์ศิลปะการใช้คำของกลอนลำ รวมไปถึงการแต่งกลอนลำให้มีความสัมพันธ์กับชีวิตชาวอีสานด้วย เช่น ด้านประเพณีและความเชื่อ การเมืองการปกครอง และด้านการรณรงค์เผยแพร่
               ผลงานด้านการแต่งกลอนลำนำไปเผยแพร่ ได้แก่ นำไปแสดงในงานทั่วไปที่ได้รับว่าจ้าง และงานที่ได้รับเชิญทั้งในและต่างประเทศ เช่น นำไปแสดงในงานทั่วไปที่ได้รับว่าจ้าง และงานที่ได้รับเชิญทั้งในและต่างประเทศ นำไปแสดงช่วยงานสาธารณในโครงการรณรงค์ส่งเสริมวัฒนธรรม และเผยแพร่ข่าวสารบ้านเมืองเพื่อช่วยเหลือสังคมในด้านต่าง ๆ ให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนทั่วไป เป็นต้น
               ในฐานะที่แม่ครูราตรี ศรีวิไล เป็นผู้อำนวยการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ซึ่งได้ทุ่มเทการทำงาน ทางด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหมอลำ และการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย เพื่อให้เกิดความถูกต้องตามหลักทฤษฏีการบริหารจัดการผู้วิจัยจึงได้ทำการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ขั้นตอน คือ 1)การวางแผน โดยการจัดวางหน้าที่ของแต่ละฝ่ายก่อนซึ่งดูจากความเหมาะสมในตำแหน่งงานภายในศูนย์ ฯ เช่นถ้าเป็นผู้ทรงคุณวุฒิก็จะแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์ ฯ และถ้าหากเป็นลูกศิษย์ที่ประสบผลสำเร็จจากการเรียนหมอลำแล้วก็จะแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการดำเนินงานศูนย์ ฯ ต่อไป 2) การจัดองค์การ โดยมีการกำหนดเป้าหมายการวางแผนงานอย่างเป็นระบบโดยทำการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่ตามฝ่ายต่าง ๆ อย่างชัดเจน เช่นคณะกรรมากรที่ปรึกษาศูนย์ ฯ จะคอยดูแลเป็นที่ปรึกษาในเรื่องการจัดอบรมต่าง ๆ ภายในศูนย์ ฯ ส่วนคณะกรรมการดำเนินงานจะเป็นผู้นำผลไปปฏิบัติต่อไป 3) การบริหารงานบุคคล โดยคณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์ ฯ ได้ทำการคัดสรรค์จากผู้มีคุณวุฒิทางด้านภูมิปัญญาไทย (อีสาน) ได้แก่ปราชญ์ชาวบ้าน อาจารย์ในระดับมหาวิทยาลัย ข้าราชการบำนาญ เป็นต้น ส่วนคณะกรรมการดำเนินงานส่วนใหญ่แล้วเป็นลูกศิษย์ที่สำเร็จจากการเรียนภายในศูนย์ ฯ ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถดีมาคอยช่วยดูแลศูนย์ ฯ และผู้อำนวยการศูนย์ ฯนั้นจะคอยให้กำลังใจในขณะปฏิบัติงานตลอดเวลา 4) การอำนวยการ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้อำนวยการศูนย์ ฯ เป็นผู้สั่งการทั้งหมดกับเรื่องที่เป็นกิจกรรมในการดำเนินงานภายในศูนย์ ฯ เพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกน้องตลอดเวลาเพระงานที่รับผิดชอบส่วนใหญ่จะอยู่ในศูนย์ ฯ จะคอยเอาใจใส่ให้ความเมตาเป็นกันเองกับลูกน้อง และสิ่งสำคัญยิ่งคือ จะรักเหมือนลูกโดยใช้คำแทนตัวว่า แม่ตลอดกับคนที่ทำงานด้วยและผู้มาติดต่องาน 5) การควบคุม โดยมีสำนักวัฒนธรรม จังหวัดขอนแก่น ได้เข้ามาเป็นผู้ประเมินทางด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของหมอลำภายในศูนย์ ฯ เพื่อเป็นมาตรฐานในการดำเนินงานของศูนย์ ฯ เพื่อศูนย์ ฯ จะได้ข้อเสนอแนะ นำไปปรับปรุงแก้ไข พัฒนาตนเองต่อไป
               ผลสำเร็จในการจัดตั้งศูนย์ ฯ และแนวโน้ม เป็นไปในทิศทางที่ดี ตั้งแต่ปีพ.. 2547 เริ่มก่อตั้งศูนย์ ฯ จนถึงปัจจุบันมีผู้เรียนจำนวนทั้งสิ้น 516 คน และเครือข่ายของศูนย์การเรียน ฯ ที่เป็นมหาวิทยาลัยได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปกร ฯลฯ เป็นต้น ส่วนโรงเรียนได้แก่โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย โรงเรียนกัลยานวัตร โรงเรียนนครขอนแก่น ฯลฯ เป็นต้น
               ปัญหาที่มีผลกระทบต่อศูนย์ ฯ นั้นโดยรวมแล้วไม่มีปัญหา เพราะแม่ครูราตรี ศรีวิไลได้ใช้หลักการบริหารจัดการศูนย์อย่างเป็นระบบ เอาธรรมมะเข้ามาบริหารจัดการร่วมด้วย ทำตัวเป็นกันเองกับลูกศิษย์ ฯ และผู้ร่วมงาน ส่วนงานที่ทำอยู่ศูนย์ ฯ ก็ไม่มีปัญหาเพราะการบริหารจัดการส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับแม่ครูราตรี ศรีวิไล เป็นผู้สั่งการเพียงคนเดียวเท่านั้น และส่วนตัวของแม่ครูราตรี ศรีวิไลนั้นก็ไม่มีปัญญาเช่นเดียวกันเพราะได้รู้จักการแบ่งเวลาให้เหมาะสม และมีคุณค่ามากที่สุด โดยได้อาศัยประสบการณ์จากการจัดตั้งสำนักงานหมอลำรวมไปถึงมีพื้นฐานของการเป็นศิลปินในการออกแสดงลำกับวงหมอลำคณะตนเองมาก่อน ที่จะมาจัดตั้งศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ในปัจจุบัน

                    3. การศึกษาหาแนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาถิ่นไทยอีสาน (หมอลำ) เป็นการสรุปผลวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยได้นำวัตถุประสงค์ของการวิจัยมาเป็นแนวทางในการสรุปผล ดังนี้
               ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล เริ่มก่อตั้งแต่ปีพ.. 2547  ได้มีการสอนหมอลำอยู่ 2 ประเภท คือ หมอลำกลอนย้อนยุค และหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) ควบคู่กันมาโดยตลอด จากกิจกรรมของการจ้างงานไปแสดงของหมอลำ ทั้ง 2 ประเภท มีอัตราการจ้างงานไปแสดงในปัจจุบันนี้เท่ากันคือ 50 : 50 และมีผู้สนใจเรียนหมอลำเข้ามาเรียนที่ศูนย์การเรียน ฯ อย่างต่อเนื่อง แต่กลับพบว่าในปัจจุบันผู้เรียนที่เป็นผู้หญิงมีจำนวนลดลงมาก แต่กลับพบว่าผู้เรียนที่เป็นผู้ชายมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อาจเป็นเพราะผู้หญิงมีทางเลือกในการทำงานมากในปัจจุบัน เช่นงานบริษัท โรงงาน เป็นต้นที่ส่วนใหญ่แล้วรับแต่ผู้หญิง ส่วนผู้ชายสะดวกในการมาเรียนหมอลำที่ศูนย์การเรียน ฯ และการออกแสดงลำด้วย (ราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร, 2554 : สัมภาษณ์)
               ถึงอย่างไรก็ตามแม่ครูราตรี ศรีวิไล ก็ยังคงพัฒนาปรับปรุงวิธีการสอนหมอลำให้เป็นที่น่าสนใจแก่ผู้เรียนอยู่เรื่อยมา โดยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการสอนหมอลำให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ แต่ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านอีสาน (หมอลำ) ไว้ให้คงเดิม จึงได้ทำการจัดตั้งศูนย์เครือข่ายหมอลำทั้งในระดับโรงเรียน และมหาวิทยาลัย ทั้งของรัฐ และเอกชน ขยายศูนย์การเรียน ฯ ไปยังต่างจังหวัด จัดให้มีการเรียนหมอลำผ่านทางไปรษณีย์ และทางอินเทอร์เน็ต
               จากการสัมภาษณ์ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อต่อศูนย์การเรียนฯ เพื่อหาแนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ) พบว่า โดยรวม มีความมุ่งมั่นมากโดยต้องการให้มีการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์หมอลำ นำหมอลำมาประยุกต์เปลี่ยนแปลงพัฒนา จัดเผยแพร่ทำเป็นนิทรรศการในกิจกรรมต่าง ๆเข้าไปส่งเสริมสนับสนุนศิลปะพื้นบ้านหมอลำ เชิญให้หมอลำไปแสดงตามงานต่าง ๆโดยไม่ให้อยู่นิ่งเฉย ให้หมอลำได้ใช้ภูมิปัญญาที่สะสมไว้ให้เกิดประโยชน์ และรวมไปถึงการผลักดันให้มีการเรียนการสอนหมอลำในโรงเรียน และในมหาวิทยาลัย ส่วนแนวทางในการปรับปรุงศูนย์การเรียนฯ ควรมีการจัดทำหลักสูตรหมอลำให้มีมาตรฐาน และชัดเจน นำเข้ามาสู่ขั้นตอนของกระบวนการศึกษา จัดจัดพิมพ์เอกสารหมอลำให้ผู้สนใจมาสืบค้น เก็บรวบรวมข้อมูลหมอลำไว้ให้มากที่สุดเพื่อเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อ ฟื้นฟูหมอลำขึ้นมาให้มากที่สุดโดยแนะนำผลักดันให้คนเข้ามาศึกษา และนำไปเผยแพร่ต่อไป ทำการประยุกต์หมอลำแบบเก่าให้เข้ากับสมัยใหม่ให้มากที่สุด ทำการนำเสนอหมอลำในทางวิชาการเช่น การแสดง การเสวนา และการประชุมวิชาการในด้านหมอลำ ทำการประชาสัมพันธ์หมอลำให้มากที่สุด อบรมบ่มเพาะให้ลูกศิษย์ไม่ไห้ออกนอกลู่นอกทาง และหน่วยงานของรัฐบาลควรช่วยส่งเสริมงบประมาณโดยการเข้ามาสนับสนุนในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนการสอนหมอลำด้วย
               
อภิปรายผล

                1. ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น      
               ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของ
แม่ครูราตรี ศรีวิไล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่มีใครทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย (หมอลำ) มาก่อนซึ่งศูนย์การเรียน ฯ ได้มีการดำเนินงานอยู่ทั้งหมด 6 ด้าน คือ 1) ด้านองค์กรและการบริหารจัดการ 2) ด้านบุคลากร 3) ด้านงบประมาณ 4) ด้านผู้เรียน
5)
ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน 6) ด้านผลกระทบต่อสังคม พบว่า อยู่ในระดับมากทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าศูนย์ ฯ ดำเนินตามแนวทางที่ได้ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ รวมทั้งได้เอากระบวนการบริหารจัดการเข้ามาใช้ ซึ่งสอดกับทฤษฎีการจัดการ (POSDC) กระบวนการบริหารจัดการตามแนวคิดของ คูนท์ซและโอ ดอนเนล (Koontz O’Donnell. 1972) ซึ่งมีหลัก การวางแผนงาน(Planning) การจัดองค์การ (Organizing) การบริหารงานบุคคล (Staffing) การอำนวยการ ภาวะผู้นำ(Directing and Leadership) และการควบคุมงาน(Controlling) จึงทำให้ศูนย์ ฯ มีคุณภาพอยู่ในระดับมากดังที่ปรากฏ
                        1.1 ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า ความคิดเห็นด้านองค์กรและการบริหารจัดการต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยภาพรวมพบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะศูนย์ ฯ ได้มีการวางแผนในการบริหารจัดการตนเองอย่างเป็นระบบชัดเจน  มีการวางแผนจัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สถานที่ และกิจกรรมต่าง ๆ ให้ตรงกับหน้าที่ของศูนย์ ฯ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ สมพงษ์ เกษมสิน (2526) ที่กล่าวว่า การจัดการองค์กรนั้นเป็นกระบวนการจัดตั้งเพื่อความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่สามารถทำให้การประกอบการขององค์การบรรลุเป้าหมายได้   และมีการกำกับ ติดตาม ประเมินผลศูนย์ ฯ ตลอดเวลาในการปฏิบัติงาน  มีการแต่งตั้งสายการบังคับบัญชาในการดำเนินการอย่างชัดเจนซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ยิ่งยง คำอ้อ (2549) ที่กล่าวว่าการอำนวยการหรือการบังคับบัญชาเป็นหลักสำคัญยิ่งของการบริหาร ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาที่จะทำการแต่งตั้ง และอำนวยการให้ดำเนินภารกิจไปด้วยดี รวมไปถึง มีการกำหนดเป้าหมาย ระเบียบแบบแผนในการดำเนินการอย่างชัดเจน  มีการมอบหมายหน้าที่ในการปฏิบัติงานอย่างชัดเจนเสมอ และมีการคัดเลือกบุคคลให้มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งอย่างชัดเจน
                        1.2  ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า ความคิดเห็นด้านบุคลากรต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลโดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่ามีการให้ขวัญและกำลังใจกับบุคลากรในการทำงานศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยอยู่เสมอ รวมทั้งให้บุคลากรได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเพื่อจะช่วยให้ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ บรรลุเป้าหมาย  และทำการคัดสรรบุคคลากรมีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ทำให้บุคลากรมีความสามัคคีกันดีในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ (พเยาว์ แสนเภา.  2547 ; อ้างอิงใน กองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพ. 2553) กล่าวว่า การทำงานจะต้องเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน โดยอาศัยกระบวนการคัดเลือกบุคคล เพื่อทำให้บุคคลนั้นเกิดความพอใจในสายอาชีพ จึงจะสามารถทำงานโดยส่วนรวมเพื่อบรรลุเป้าหมายไปอย่างมีประสิทธิภาพ
                        1.3  ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า ความคิดเห็นด้านงบประมาณต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลโดยภาพรวม พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้เป็นเพราะว่า รายได้จากการจัดกิจกรรมของศูนย์ ฯ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนงบประมาณที่รัฐจัดให้ไม่เพียงพอในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ จุรารัตน์ เพ็ชรจันทึก (2541) ได้ศึกษาการบริหารศูนย์การเรียนชุมชน กรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการที่ได้รับรางวัลดีเด่นระดับจังหวัด : ศึกษาเฉพาะกรณี ศูนย์การเรียนชุมชนบ้านหินโคน ตำบลหินโคน อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา พบว่า ปัญหาที่พบ ขาดวัสดุ อุปกรณ์สื่อการเรียน ประชาสัมพันธ์ ขาดงบประมาณสนับสนุนการจัดกิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศัย ทำให้ไม่สามารถดำเนินได้ต่อเนื่องแก้ปัญหา โดยประสานงานกับศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับการสนับสนุน วัสดุ อุปกรณ์สื่อต่าง ๆ และใช้เงินส่วนตัวครูประจำกลุ่มและการจัดกิจกรรม
                        1.4 ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า ความคิดเห็นด้านผู้เรียนต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ผู้เรียนต้องการเรียนเพิ่มเติมนอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียน (การศึกษาในระบบ) โดยผู้เรียนเล็งเห็นความสำคัญของการสอนหมอลำในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ รวมทั้งผู้เรียนได้ประโยชน์จากการเรียนที่ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ผู้เรียนมีความสนใจใฝ่รู้ในการเรียนหมอลำของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ดังนั้นผู้เรียนจึงมีความมุ่งมานะพยายามในการฝึกเรียนหมอลำจากศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ และสาเหตุอีกอย่างคือ ผู้เรียนมีความพร้อมในด้านเวลาของการมาเรียนที่ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ (สุนันทา แก่นอากาศ.  2548 ; อ้างอิงใน คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้.  2543) ได้กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสำคัญที่สุดคือ ผู้เรียนได้คิดเอง ทำเอง ปฏิบัติเอง และสร้างความรู้ด้วยตนเองในเรื่องที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิต จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย มีส่วนร่วมในการกำหนดจุดมุ่งหมาย กิจกรรม และวิธีการเรียนรู้ สามารถเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข มีส่วนร่วมในการประเมินผลการพัฒนาการเรียนรู้
                        1.5  ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า ความคิดเห็นด้านกิจกรรมการเรียนการสอนต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ได้มีการเสริมแรงจูงใจในขณะที่สอนอยู่ตลอดเวลา และได้มีการแยกความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนการสอน ผู้เรียนรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้มาเรียนอย่างใกล้ชิดกับครูภูมิปัญญาไทย ฯ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ จิราวัลย์ ซาเหลา (2546) ได้ศึกษากระบวนการเรียนรู้กระบวนการถ่ายทอดศิลปะ การแสดงหมอลำอาชีพ พบว่า หมอลำอาชีพนั้นมีวิธีการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์โดยมีวิธีการถ่ายทอดที่ตนได้ฝึกฝนและเรียนรู้มา โดยครูผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะ สาธิต การฝึกปฏิบัติจริง และเลียนแบบจากต้นแบบ (ตัวครูผู้สอน) ผู้เรียนนั้นได้มีส่วนร่วมในการแสดงกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียน ผู้เรียนได้คิดเอง ทำเอง ปฏิบัติเอง ในขณะที่เรียน ส่วนวิธีการถ่ายทอดความรู้มีขั้นตอนชัดเจนเป็นระบบและแบบแผน ทำให้การเรียนการสอนเข้าใจง่ายและนำไปปฏิบัติได้จริง กิจกรรมการเรียนการสอนไม่น่าเบื่อหน่าย ดังนั้นผู้เรียนมีความรู้สึกมั่นใจและตั้งใจในขณะที่เรียน และการจัดการเรียนการสอนมีระบบและเป้าหมายที่ชัดเจน
                        1.6  ผลการวิจัยครั้งนี้ พบว่า ความคิดเห็นด้านผลกระทบต่อสังคมของการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ช่วยในการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านของหมอลำอีสานไว้  รวมทั้งแม่ครูราตรี ศรีวิไลเป็นผู้ที่ช่วยสืบสานภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสานให้มีชีวิตชีวาและยั่งยืน ส่วนกลอนลำของแม่ครูราตรี ศรีวิไลที่ได้รับการเผยแพร่ในรูปแบบของสื่อต่างๆ เป็นส่วนซึ่งทำให้ศิลปะหมอลำดำรงอยู่ได้  รวมไปถึงการสอนของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย  ช่วยให้ผู้เรียนมีอาชีพหาเลี้ยงชีพได้  ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ สิทธิศักดิ์ จำปาแดง (2548)  ได้ศึกษาบทบาทของหมอลำในการแก้ปัญหาสังคม พบว่าบทบาทของหมอลำในการแก้ปัญหาสังคมมีบทบาทหลายประการดังนี้ ประการแรกความมั่นคงของประเทศโดยการแต่งกลอนลำและลำรณรงค์ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์และส่งเสริมประชาธิปไตย ประการที่สองด้านการศึกษา ศิลปินแต่งกลอนลำ และลำรณรงค์ให้ประชาชนสนใจในการศึกษา ประการที่สามด้านสาธารณสุขมีการณรงค์ควบคุมจำนวนประชากร การควบคุมโรคติดต่อ และการส่งเสริมการออกกำลังกาย ประการที่สี่ด้านการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม มีการรณรงค์เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการกำจัดสิ่งปฏิกูลในชุมชน ประการที่ห้าด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด มีการรณรงค์ให้เห็นโทษยาเสพติดทุกชนิด

                2. ชีวประวัติ และผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้ง และการดำเนินการตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
               จากการสัมภาษณ์ แม่ครูครูราตรี ศรีวิไล เกี่ยวกับการจัดตั้งศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ พบว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้แม่ครูราตรี ศรีวิไล ได้ยึดอาชีพหมอลำ และอาชีพนักแต่งกลอนลำ เกิดจากความใฝ่ฝันอยากเป็น ศิลปิน ครูสอนหมอลำ และนักแต่งกลอนลำ ที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับ บิดา มารดา พี่ชาย และพี่สาว ประกอบกับเป็นผู้ที่สนใจทางด้านศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย จึงเกิดแรงกระตุ้นให้มีความมุ่งมานะ ฝึกอบรม ทั้งทางด้านการแสดงหมอลำ  และการแต่งกลอนลำ โดยทำการสังเกตวิธีการเรียนรู้ เนื้อหา และขั้นตอน ของการแต่งกลอนลำอยู่เป็นประจำ จนสามารถแต่งกลอนลำได้ดีขึ้นตามลำดับ ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ของกลอนลำ โดยมี บิดา มารดา และพี่ชาย คอยตรวจสอบบทกลอนลำให้ทุกบทกลอน จนสามารถแต่งกลอนำให้กับตนเอง และลูกศิษย์ได้นำไปใช้ในการประกวดแข่งขัน จนได้รับรางวัลชนะเลิศอย่างมากมาย โดยเฉพาะกลอนลำที่เกี่ยวกับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวสารให้กับสังคม ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ และเป็นแรงสนับสนุนกระตุ้นให้แม่ครูราตรี ศรีวิไล ได้แต่กลอนลำเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่เรียนจบหลักสูตรทั้งสายสามัญและสายอาชีพเรียบร้อยแล้ว จึงได้เป็นพลิกผันตนเองมาเป็นครูสอนหมอลำควบคู่กับเปิดสำนักงาน หมอลำราตรี ศรีวิไลไปด้วย
               หลังจากได้ทุ่มเทงานทางด้านการสอนหมอลำมาโดยตลอด จนต่อมาใน ปีพ..2544 ได้รับเข็มเชิดชูเกียรติ จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ  โดยการคัดเลือกแต่งตั้งให้เป็น  “ครูภูมิปัญญาไทย”   (รุ่นที่ 1) และในปีพ..2547 ได้รับการคัดเลือกให้จัดตั้งเป็น “ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยสาขาศิลปกรรมการแสดงพื้นบ้าน” (หมอลำ) ประจำจังหวัดขอนแก่น  โดยการคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ และได้ทำการเปิดการเรียนการสอนหมอลำมาจนถึงปัจจุบัน (ราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร, 2554 : สัมภาษณ์) แม่ครูราตรี ศรีวิไล ได้ผ่านวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของหมอลำในสังคมไทยอีสานที่เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย เริ่มตั้งแต่ปีพ.. 2508 เป็นช่วงของลำกลอนย้อนยุค จนถึงปีพ.. 2525 เป็นช่วงหมอลำหมู่หรือลำเรื่องต่อกลอน และจากปีพ.. 2529 เป็นต้นมา แม่ครูราตรี ศรีวิไลได้ประยุกต์หมอลำกลอนย้อนยุคให้เป็นหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) ซึ่งเป็นหมอลำบูรณาการที่ทำให้หมอลำยืนหยัดอยู่อย่างยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน
(ราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร, 2554 : สัมภาษณ์) เนื้อหาสาระและขั้นตอนการปฏิบัติในการสอนหมอลำของแม่ครูราตรี ศรีวิไลที่ใช้ในการสอนลูกศิษย์นั้นได้แบ่งการสอนออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ 1) ส่วนของเนื้อหาถ่ายทอดความรู้ ได้แก่ ความสำคัญของหมอลำ และ 2) ส่วนของการถ่ายทอดความรู้ ได้แก่ การฝึกลำตามเนื้อกลอนลำที่มอบให้หรือฝึกอยู่กับครูที่ศูนย์ ฯ ฝึกฟ้อนและลำประกอบกันให้เข้ากับจังหวะเสียงแคนซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยของ จิราวัลย์ ซาหลา (2546) ได้ศึกษากระบวนการเรียนรู้กระบวนการถ่ายทอดศิลปะ การแสดงของหมอลำอาชีพ  พบว่า ถ่ายทอดของศิลปินหมอลำอาชีพนั้น มีวิธีการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์โดยมีวิธีการถ่ายทอดตามที่ตนได้ฝึกฝนและเรียนรู้มา โดยครูผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะ สาธิต การฝึกปฏิบัติจริง และเลียนแบบจากต้นแบบ (ตัวครูผู้สอน) ส่วนแนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้และการถ่ายทอดอย่างมีประสิทธิภาพ ได้เสนอแนะว่าควรมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบ โดยเริ่มต้นจากการจัดตั้งโรงเรียนหมอลำ หรือศูนย์การเรียนอาชีพเรื่องหมอลำ กำหนดหลักสูตร รูปแบบ วิธีการถ่ายทอด ขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐให้การสนับสนุนงบประมาณและควบคุมมาตรฐานการดำเนินการ ต่อไป
               หลังจากที่ผู้เรียน ได้เรียนหมอลำจบหลักสูตรแล้วใครมีแววในการแต่งกลอนลำแม่ครูราตรี ศรีวิไล ก็จะสอนให้ทำการวิเคราะห์สุนทรียภาพด้านเนื้อหากลอนลำ การวิเคราะห์สุนทรียภาพด้านรูปแบบฉันทลักษณ์กลอนลำ และวิเคราะห์สุนทรียภาพด้านศิลปะการใช้คำของกลอนลำ รวมไปถึงการแต่งกลอนลำให้มีความสัมพันธ์กับชีวิตชาวอีสานด้วย เช่น ด้านประเพณีและความเชื่อ การเมืองการปกครอง และด้านการรณรงค์เผยแพร่ เทคนิควิธีการสอนทั้งหมดนี้ทำให้ลูกศิษย์สามารถนำไปพัฒนาในการแต่งกลอนลำได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยของราตรีราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร (2554) ที่ศึกษาสุนทรียภาพในกลอนลำของหมอลำกลอน : องค์ประกอบและปัจจัยเกื้อหนุนต่อการสร้างสรรค์ และแนวคิดของ พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ (2546) เกี่ยวกับหลักของญาณวิทยา ทฤษฏีบ่เกิดการเรียนรู้ ประจักษ์นิยม ของเดวิด  ฮิวม์ (David  Hume) ที่ถือว่าถือว่า  ความรู้เกิดจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส  ซึ่งได้แก่   ตา หู จมูก ลิ้น กาย  หลังจากที่ลูกศิษย์ได้เรียนสำเร็จหลักสูตรทั้งลำกลอนธรรมดา และลำกลอนประยุกต์ (ลำซิ่ง) ภายใน 6 เดือนแล้ว แม่ครูราตรี ศรีวิไลก็ได้ส่งลูกศิษย์เข้าทำการประกวดหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) จนได้รับรางวัลจากการประกวดอย่างมากมาย และส่วนใหญ่ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 มากที่สุด กลอนลำที่ใช้ในการประกวดเป็น กลอนลำซิ่งเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรม กลอนลำซิ่งรณรงค์ประเภทต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยของวุฒิศักดิ์ กะตะศิลา  (2541) ศึกษาบทบาทหมอลำราตรี ศรีวิไล ผู้บุกเบิกลำซิ่ง การศึกษาพบว่า หมอลำราตรี ศรีวิไล ได้ทำการแต่งกลอนลำสำหรับตนเองและลูกศิษย์ ใช้ในงานทั่วไป สำหรับลำประกวด และใช้สำหรับลำรณรงค์เรื่องต่าง ๆ ที่หน่วยงานราชการขอความอนุเคราะห์มา กลอนลำมีเนื้อหาที่ทันสมัย และทันเหตุการณ์อยู่เสมอ แม่ครูราตรี ศรีวิไล ได้ทำการสร้างสรรค์พัฒนาผลงานวรรณกรรมให้มีความโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์ของตนอย่างมีคุณค่าทางวรรณศิลป์มาตลอดตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ผลงานส่วนใหญ่นั้นเป็นด้านการแต่งกลอนลำนำไปแสดงเผยแพร่ ได้แก่ นำไปแสดงในงานทั่วไปที่ได้รับว่าจ้างและงานได้รับเชิญทั้งในไทย และต่างประเทศ นำไปแสดงช่วยงานสาธารณะในโครงการรณรงค์ส่งเสริมวัฒนธรรมและเผยแพร่ข่าวสารบ้านเมืองเพื่อช่วยเหลือสังคมในด้านต่าง ๆให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั่วไป ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยของ วุฒิศักดิ์ กะตะศิลา  (2541) ศึกษาบทบาทหมอลำราตรี ศรีวิไล ผู้บุกเบิกลำซิ่ง การศึกษาพบว่า บทบาทด้านการลำ หมอลำราตรี ศรีวิไล รับงานทั่วไป ลำช่วยงานของหน่วยงานราชการลำประกวด ลำอัดแผ่นเสียง วีดีทัศน์ และเทปบันทึกเสียงเพื่อการจำหน่ายและเผยแพร่

                    3. แนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาถิ่นไทยอีสาน (หมอลำ)
               ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.. 2547 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยทีผ่านมาอย่างมากมาย โดยอ้างอิงจากสถิติของการจ้างงานแสดงในสำนักงานหมอลำราตรี ศรีวิไล พบว่า หมอลำกลอนย้อนยุคได้มีการจ้างงานไปแสดงลดน้องลงเมื่อเทียบกับหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) ทำให้หมอลำกลอนย้อนยุคซบเซาจากการแสดงลงมาก และเมื่อปี 2550-2552 หมอลำกลอนย้อนยุคเริ่มมีผู้มาจ้างไปแสดงขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็ยังน้อยกว่าหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง)อยู่มาก เมื่อเทียบสถิติการจ้างไปแสดง จนกระทั้งถึงปี 2551-2554 กลับพบว่า จากสถิติหมอลำกลอนย้อนยุคมีคนสนใจจ้างไปแสดงเป็นจำนวนมากเทียบเท่ากับหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง)สาเหตุที่หมอลำกลอนย้อนยุคกระเพื่อมขึ้นอาจจะเป็นเพราะหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) เกิดปัญหาในการควบคุมสถานการณ์หน้าเวทีไม่ได้จึงเกิดการทะเลาะวิวาทกันหน้าเวทีหมอลำทำให้ผู้จ้างงานเสียหาย เป็นต้น แต่สำหรับแม่ครูราตรี ศรีวิไลนั้นได้ทำการแสดงทั้งสองแบบคือ หมอลำกลอนย้อนยุค และหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) จึงมีผลกระทบค่อนข้างน้อยจากการจ้างงานของสำนักหมอลำราตรี ศรีวิไล
               ส่วนผู้เรียนก็มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหมือนกันคือจากที่เคยมาเรียนประจำอยู่ที่ศูนย์ ฯ ก็เปลี่ยนไปเรียนทางไปรษณีย์แทนเพราะสะดวกในการเรียนแต่กลับพบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาจจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงมีทางเลือกในการทำงานมากมาย เช่น การเรียนหนังสือในโรงเรียน (ในระบบ) ทำงานบริษัท ทำงานห้าง ทำงานโรงงาน เป็นต้น ส่วนผู้ชายอาจเป็นเพราะ สะดวกต่อการมาเรียน ครอบครัวไม่เป็นห่วงมากในการมาเรียน สะดวกต่อการออกงานไปแสดงจากประเด็นที่ผู้วิจัยได้ศึกษามาทั้งหมดนี้จากการดำเนินการของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลได้สอดคล้องกับแนวคิดของ ประมวล พิมพ์เสน (2546) การแสดงทุกอย่างจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความสนใจ ความต้องการของผู้ฟัง หรือผู้ที่ว่าจ้างไปแสดง การแสดงดนตรีทางทีวีสร้างอิทธิพลต่อผู้ฟังอย่างกว้างขวาง ผู้ฟังลำ กับผู้ฟังดนตรี แทบจะแบ่งกันสิ้นเชิง ถ้าสังเกตผู้ฟังหมอลำมักจะเกิดก่อนปี 2510 ถ้าเกิดหลังจากนั้นจะมาชอบดนตรี มีผู้ฟังบางส่วนจะให้ลูก ๆ ไปชมก่อนหลังจากหมดช่วงของดนตรีแล้วก็จะกลับมากเฝ้าบ้านให้พ่อ แม่ ให้ฟังหมอลำปัจจุบันตามที่ไปสังเกตผู้ชมดูประมาณ 20 งานตามถิ่นที่ต่าง ๆ และจากการสอบถามชาวคณะหมอลำได้ความว่า ผู้ฟังจะแบ่งกัน 50:50 คือฟังดนตรี 50% ฟังลำ 50% นั่นก็หมายความว่าหมอลำหมู่กำลังจะหมดความสนใจจากประชาชน ผู้ที่สนใจชมการแสดงดนตรีมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทางคณะต้องหาวิธีการสอนความต้องการของประชาชน จะต้องหานักร้องที่ดี  ๆ เด่น ๆ มาเข้าสังกัดวง หรือไม่ก็คัดนักร้องที่เสียงเดียวในวงไปอัดแผ่นเสียง คัดเลือกและฝึกซ้อมนักเต้นให้ทันสมัยเช่นเดียวกันกับวงสตริงหรือวงลูกทุ่งทั่วไป ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นไปด้วย
               ในปัจจุบันวัยหนุ่มวัยสาวมีเงินมีอิทธิพลในการไปว่าจ้างคณะหมอลำ เขาจึงเลือกเอาคณะที่มีการแสดงคอนเสิร์ตเด่น ๆ ดนตรีดี ๆ เห็นได้ว่าแม่ครูราตรี ศรีวิไลเป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์พัฒนาหมอลำอีสานให้อยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมอย่างยั่งยืนซึ้งสอดคล้องกับการสัมภาษณ์คณะกรรมการศูนย์  ฯ ที่กล่าวว่าต้องพยายามหาแนวทางประนีประนอมกล่าวคือทั้งยึดมั่นสาระสำคัญในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย (หมอลำ) ของศูนย์ ฯ แต่ขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนตามกระแสเปลี่ยนแปลง และความต้องการของสังคมสอดคล้องกับแนวคิดอุดม บัวศรี (2546) กล่าวว่าศิลปวัฒนธรรมของชาติ จะมีการเคลื่อนตัวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะอยู่บนพื้นฐานของเอกลักษณ์ของชาติ การเปลี่ยนแปลงที่วัฒนธรรมเป็นห่วงมากที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงที่ไร้ทิศทาง ไร้สำนึก ไร้การศึกษา และคัดเลือกว่าอะไรดี อะไรชั่ว ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าจะทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางวัฒนธรรมของชาติขึ้น
               จากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ซึ่งได้แนวทางปรับปรุงศูนย์ ฯในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย (หมอลำ)โดยการจัดทำหลักสูตรหมอลำให้มีมาตรฐานและชัดเจน นำเข้ามาสู่ขั้นตอนของกระบวนการศึกษา จัดพิมพ์เอกสารหมอลำให้ผู้สนใจมาสืบต่อ เก็บรวบรวมข้อมูลหมอลำไว้ให้มากที่สุดเพื่อเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ฟื้นฟูหมอลำขึ้นมาให้มากที่สุดโดยแนะนำผลักดันให้คนเข้ามาศึกษาและนำไปเผยแพร่ต่อไป ทำการประยุกต์หมอลำแบบเก่าให้เข้ากับสมัยใหม่มากที่สุด ทำการนำเสนอหมอลำในทางวิชาการเช่น การแสดง การเสวนา และการประชุมวิชาการในด้านหมอลำ ทำการประชาสัมพันธ์หมอลำให้มากที่สุด อบรมบ่มเพาะให้ลูกศิษย์ไม่ให้ออกนอกหลู่นอกทาง และหน่วยงานของรัฐบาลควรช่วยส่งเสริมงบประมาณโดยการเข้ามาสนับสนุนในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนการสอนหมอลำด้วยได้สอดคล้องกับเอกสารของ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (2554) ซึ่งได้มีการจัดการจัดสัมนาหมอลำ ในหัวข้อโครงการ สืบสานฮีตฮอยหมอลำ เฉลิมพระเกียรติ ฯ 84 พรรษาในวันที่ 4-5 มิถุนายน 2554 ซึ่งภายในงานได้กล่าวถึงหมอลำที่ได้ถูกประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม คือองค์ความรู้ดั้งเดิมของไทยกำลังจะสูญหายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้อาจจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม การพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การท่องเที่ยวที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น การโยกย้ายถิ่นของชาวชนบทเข้าสู่เมืองใหญ่และการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมซึ่งบริบทที่เปลี่ยนไปดังกล่าวมีผลกระทบต่อผู้ปฏิบัติและการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม จึงเป็นมาตรการสำคัญที่มุ่งส่งเสริมการตระหนักถึงคุณค่าอันโดดเด่น ยกย่ององค์ความรู้และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษส่งเสริมศักดิ์ศรีทางวัฒนธรรม และเอกลักษณ์ของกลุ่มชนที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเกิดการยอมรับในความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม
               ทั้งนี้ เพื่อปูทางไปสู่การ อนุรักษ์ สร้างสรรค์ พัฒนา และสืบทอดอย่างเป็นระบบและยังยืนต่อไป ศิลปะการแสดงที่ประกาศขึ้นทะเบียนประจำปี พ.. 2552 นั้นมีการแสดงสาขาเพลงพื้นบ้านของภาคตะวันออกเฉียงเหนือรวมอยู่ด้วยถึง 3 ประเภท ได้แก่ หมอลำพื้น หมอลำกลอน และลำผญา จึงเห็นได้ว่าในขณะนี้ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ) มีชื่อเสียงโด่งดังถึงระดับชาติแล้วด้วยความเพียรพยายามของบรรพบุรุษที่ได้สืบสานต่อกันมาจนตกผลึกอย่างยังยืนเป็นมรดกอันล้ำค่าแก่ลูกหลานต่อไป
ข้อเสนอแนะ

               จากการศึกษาวิจัยการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของ
แม่ครูราตรี ศรีวิไล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
               1. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
                   1.1 ในบริบทที่สังคมไทยได้พัฒนา และเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญไปทุกด้าน โดยเฉพาะด้านค่านิยม และผลประโยชน์ขัดแย้งกันอย่างค่อนข้างรุนแรงนั้น ข้อสรุปที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้ ชี้ว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง คือภูมิปัญญาไทย รวมทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสาน (หมอลำ) ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จนกระทั่งประสบปัญหาวิกฤต รัฐบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐควรจะตั้งการกอบกู้ ฟื้นฟู และบูรณาการภูมิปัญญาไทยเป็นวาระแห่งชาติ
                   1.2 จากกรณีตัวอย่างทั้งด้านชีวิต และผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไลได้อนุรักษ์ ฟื้นฟู เผยแพร่หมอลำในด้านการแสดงหมอลำ และการแต่งกลอนลำ จนเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พร้อมทั้งได้ช่วยเหลือหน่วยงานราชการต่าง ๆในการแสดงกิจกรรมการรณรงค์เผยแพร่กลอนลำมาโดยตลอด หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการส่งเสริมวัฒนธรรม ได้แก่ สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ สมควรเสนอชื่อแม่ครูราตรี ศรีวิไลเป็นผู้สมควรได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นศิลปินแห่งชาติ ในโอกาสต่อไป         
               2. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
                    สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ควรนำผลงานวิจัยนี้ไปใช้ประโยชน์ใน การทำนุบำรุงการศึกษาทางภูมิปัญญาท้องถิ่นอีสาน (หมอลำ) โดยใช้เป็นแนวทางในการจัดทำหลักสูตรหมอลำ และในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนต่อไป


               3. ข้อเสนอแนะสำหรับการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป
                    3.1 ควรมีการศึกษาวิจัยศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยหลาย ๆ สาขาเพื่อถอดบทเรียนจากประสบการณ์ และเปรียบเทียบความแตกต่างของการดำเนินการแต่ละศูนย์การเรียน ฯ
                    3.2 ควรศึกษาวิจัยเรื่องกระบวนการทำงานของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย และปัจจัยที่ส่งผลให้ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยดำรงอยู่ได้ และสร้างผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้
                   3.3 ควรศึกษาวิจัยเรื่อง ปัญหา และอุปสรรค ตลอดจนวิธีการปรับปรุงการบริหารจัดการของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย และปัจจัยที่มีผลกระทบต่อศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย