วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (1ต่อ)


แนวคิดทฤษฏีการศึกษาตามอัธยาศัย

                1.  ความหมายของการศึกษาตามอัธยาศัย
                มนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษที่สำคัญประการหนึ่ง คือสามารถรับรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และตลอดการดำเนินชีวิตของแต่ละคน ความสามารถนี้ได้สั่งสมพัฒนาสืบทอด ต่อกันมาเป็นลำดับ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราเรียกกระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์นี้ว่า การศึกษาดังนั้นการศึกษากับการดำเนินชีวิตของมนุษย์จึงเป็นกระบวนการอันหนึ่งอันเดียวกัน กระบวนการนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องอยู่ตลอดชีวิต และมีการถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งเป็นลำดับตลอดมา ดังนั้นตลอดระยะเวลาแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์ มนุษย์จึงมีการศึกษาอยู่แล้ว โดยธรรมชาติทำให้สามารถพัฒนาตนเอง ให้อยู่รอดและสร้างสรรค์ความเจริญต่าง ๆ สืบมาได้จนถึงปัจจุบัน จากการศึกษาที่กล่าวมาข้างต้น การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง การเรียนรู้จากการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน และเป็นการเรียนรู้ตามความสนใจของมนุษย์โดยแท้ ไม่มีระบบหรือระเบียบตายตัว หากปรับเปลี่ยนไปตามความสนใจของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ (รุ่ง แก้วแดง,  2538)
                จีระ งอกศิลป์ และคณะ (2550) กล่าวว่า การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง การศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม สื่อ หรือแหล่งเรียนรู้อื่น  ๆ สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือทั้งสามรูปแบบก็ได้ ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งจากการเรียนรู้นอกระบบ ตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพ หรือประสบการณ์การทำงาน
                อุดม เชยกีวงศ์ (2551) กล่าวว่า การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้ในวิถีชีวิตประจำวันของบุคคล ซึ่งสามารถเลือกที่จะเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ตามความสนใจ ความต้องการ โอกาสความพร้อม และศักยภาพในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล
                อุดม เชยกีวงศ์ ยังได้อ้างอิงถึงความหมายของการศึกษาตามอัธยาศัยจากหลายแนวคิดของบุคคลต่าง ๆ ดังนี้
                อุดม เชยกีวงศ์  (2551 ; อ้างอิงใน คูมส์.  1985) กล่าวว่า การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง กระบวนการศึกษาตลอดชีวิต ที่ทุกคนได้รับและสะสมความรู้ ทักษะ เจตคติ และการรู้แจ้งจากประสบการณ์ประจำวัน และการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมทั้งที่บ้าน ที่ทำงานและสนามเด็กเล่น และเจตคติของสมาชิกครอบครัว และเพื่อน ๆ จากการเดินทางการอ่านหนังสือพิมพ์ และหนังสืออื่น ๆ หรือโดยการฟังวิทยุ หรือการดูภาพยนตร์ หรือ ดูโทรทัศน์ตามปกติแล้ว การศึกษาตามอัธยาศัยไม่มีการจัด ไม่มีระบบ และบางครั้ง ไม่ได้ตั้งใจแต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ของแต่ละคนอยู่อย่างมาก แม้แต่ผู้มีการศึกษาในโรงเรียนมาแล้วก็ตาม 
                อุดม เชยกีวงศ์ (2551 ; อ้างอิงใน สุนทร สุนันท์ชัย.  2532) กล่าวว่า การศึกษาตาอัธยาศัย หมายถึง การได้รับความรู้ ทักษะ เจตคติ จากประสบการณ์ประจำวันใน ครอบครัว ชุมชน จากการทำงาน การเล่น ห้องสมุด สื่อมวลชน และอื่น ๆ ในสภาพแวดล้อมของบุคคล  
                อุดม เชยกีวงศ์ (2551 ; อ้างอิงใน ปฐม นิคมานนท์.  2532) กล่าวว่า การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง เป็นกระบวนการตลอดชีวิต ซึ่งบุคคลได้เสริมสร้างเจตคติ ค่านิยม ทักษะและความรู้ต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อม เช่น การเรียนรู้จากครอบครัว เพื่อนบ้าน จากการทำงาน การเล่น จากตลาด ร้านค้า ห้องสมุด ตลอดจนเรียนรู้จากสื่อมวลชนต่าง ๆ เป็นต้น
                อุดม เชยกีวงศ์  (2551 ; อ้างอิงใน วิจิตร ศรีสะอ้าน.  ...) กล่าวว่า การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง เป็นกระบวนการตลอดชีวิต ซึ่งบุคคลแต่ละคนแสวงหาความรู้พัฒนาทักษะค่านิยมและสร้างเสริม ทักษะจากประสบการณ์ในชีวิตประจำวันโดยอาศัยแหล่งวิทยาการที่มีอยู่ใกล้ตัว ตามสภาพแวดล้อม
                อุดม เชยกีวงศ์  (2551 ; อ้างอิงใน มัลลิกา พงศ์ปริตร.  2535) กล่าวว่า การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง การศึกษาตามอัธยาศัยนั้นเกิดขึ้นได้ทุกขณะจิต ไม่ว่าสิ่งใดที่ผ่านเข้ามากระทบสัมผัสประสาททั้งห้า ย่อมมีผลต่อจิตใจ และความรู้สึกนึกคิดของผู้รับทั้งสิ้น จุดสำคัญอยู่ที่ว่าผลกระทบนั้นจะเป็นไปในทางลบหรือทางบวกหากผู้รับรู้ตัวและรู้จักต้านสิ่งซึ่งไม่พึงประสงค์ รับแต่สิ่งที่จรรโลงใจ ประเทืองปัญญา ส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราเรียก การศึกษาตลอดชีวิตก็จะเกิดขึ้นได้อย่างอัตโนมัติ
                อุดม เชยกีวงศ์ (2551 ; อ้างอิงใน Shibuya Hideyoshi.  1990) กล่าวว่า การศึกษาตามอัธยาศัยหมายถึง กระบวนการที่มนุษย์ได้รับการถ่ายทอดการสั่งสมความรู้ ทักษะ เจตคติ ความคิด จากประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน และสิ่งแวดล้อมตลอดชีวิต เป็นการศึกษาที่ไม่มีองค์กร ไม่มีระบบ ไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่ตั้งใจ และเรื่องที่ได้รับการถ่ายทอดก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีในสังคม
               จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การศึกษาตามอัธยาศัย หมายถึง การเรียนรู้ซึ่งเกิดจากการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคลในแต่ละวัน เช่น การดูหนัง การฟังเพลง การเล่นกีฬา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือกระบวนการเรียนรู้ที่หมายถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยไม่มีการจัดระบบแต่สามารถเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้รอบตัว โดยไม่มีการบังคับ ขู่เข็น ให้เรียนรู้ แต่เกิดจากความพึงพอใจของบุคคลนั้น ๆ จึงเรียกว่า การเรียนรู้ตามอัธยาศัย
                2.  ทฤษฏีของการศึกษาตามอัธยาศัย
                อุดม เชยกีวงศ์ (2551 ; อ้างอิงใน วิจิตร ศรีสะอ้าน.  2551) ได้กล่าวถึง องค์กรและสถาบันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาตามอัธยาศัย ของแต่ละคนจากสังคมที่ใกล้ตัวจนถึงสังคมภายนอก ได้แก่
                1.  สถาบันครอบครัว
                2.  สถาบันสื่อมวลชน
                3.   แหล่งชุมชน
                4.   แหล่งนันทนาการ
                5.   สถาบันการศึกษา
                6.   หน่วยงานบริการของรัฐ
                7.  องค์กรเอกชน
                8.   แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ
                9.  ภูมิปัญญาท้องถิ่น
               ชัยศ อิ่มสุวรรณ์ (2544) กล่าวว่า การทำความเข้าใจการศึกษาตามอัธยาศัยควรจะพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ คือ
                1.  การศึกษาตามอัธยาศัยเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่งตามแต่สถานการณ์จะพาไปสถานการณ์แห่งการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาไม่จำกัดสถานที่ อายุ กลุ่ม รูปแบบ หรือวิธีการเรียนรู้
                2.  การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ จะเป็นบุคคลวัตถุสิ่งของ สถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เช่น เรียนจากพ่อแม่ เรียนจาการทดลองทำ เรียนจากสัมผัสวัสดุ สิ่งของ สื่อ ฯลฯ การเรียนรู้ดังกล่าวเกิดขึ้น ณ จุดหนึ่ง ภายในใจของบุคคลเป็นจุด รุจิที่เกิดขึ้นเป็นกระบวนภายใน
                3.  ลักษณะของการเรียนรู้ที่เกิดจากการศึกษาตามอัธยาศัย โดยทั่วไปมีลักษณะเฉพาะที่
    3.1 เป็นการเรียนรู้ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของการสนทนา (Conversation Base)
                    3.2 ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดการเรียนรู้ด้วยตนเอง นับแต่เลือกที่จะเรียนรู้หรือไม่เรียน จะเรียนเรื่องใด และพอเพียงแล้วหรือยัง
                    3.3 การเรียนรู้คาดหมายล่วงหน้าไม่ได้ (Unpredictable) บางสถานการณ์เกิดการเรียนรู้ แต่บางสถานการณ์ไม่เกิดการเรียนรู้ บางคนเกิดการเรียนรู้ แต่ในสถานการณ์เดียวกัน บางคนไม่เกิดการเรียนรู้
                    3.4 การประเมินผลอยู่ที่ตัวผู้เรียนเองเป็นสำคัญ แต่บางกรณีขึ้นอยู่กับบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย ที่จะยอมรับความรู้ที่เกิดขึ้นแต่ไม่มีรูปแบบการประเมินที่ชัดเจนแน่นอน
                4.  ผลของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการศึกษาตามอัธยาศัยนั้น มีอยู่โดยไม่รู้ตัวเพราะเป็นการสั่งสมมาทีละเล็กทีละน้อยไม่อาจคาดหวังได้ว่าผลการเรียนรู้เป็นอย่างไรจนกว่าจะนำมาใช้ในชีวิตจริงการประเมินจึงทำได้ไม่ง่าย เพราะคุณค่าของผลการเรียนตามอัธยาศัยไม่ใช่สิ่งที่จะนำไปสู่การเรียนต่อได้มากเท่ากับการนำไปใช้ในชีวิตจริง
                 5.  การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยจึงเป็นเพียงการจัดการให้บุคคลเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการในรูปแบบที่หลากหลาย โดยการจัดสภาพแวดล้อม ปัจจัยเกื้อหนุนบรรยากาศ สถานการณ์ให้บุคคลได้เรียนรู้ กล่าวโดยสรุป ความหมายของการศึกษาตามอัธยาศัยจึงอาจพิจารณา ได้จาก 2 มุมมองได้แก่
                1.  จากมุมมองของผู้เรียน การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิตที่เกิดขึ้นจากตัวของผู้เรียนเอง โดยใช้วิธีการที่หลากหลาย และผลของการเรียนรู้เกิดจากหรือเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของผู้เรียน
                2.  จากมุมมองของผู้จัดการศึกษา การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ให้ใช้บุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม และสื่อต่าง ๆเป็นแหล่งเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการสื่อความหมายต่าง ๆ เป็นฐานของกระบวนการเรียนรู้ และมีประสบการณ์ การทำงาน การดำรงชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อม เป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการเรียนรู้
                วีรฉัตร สุปัญโญ (2548) ได้สรุปลักษณะสำคัญของการศึกษาตามอัธยาศัยตั้งอยู่บนฐานคติ 4 ด้านต่อไปนี้
                1.  ฐานคติด้านความรู้ ประกอบด้วย
    1.1  ความรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา
    1.2   ความรู้เกิดจากกิจกรรมและความสนใจของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
    1.3   ความรู้เกิดขึ้นได้ทั้งโดยจงใจและไม่จงใจ
    1.4  ความรู้ไม่จำเป็นต้องสนองตอบวัตถุประสงค์ทางการศึกษาเสมอไป
    1.5   ความรู้ไม่จำเป็นต้องจัดเป็นรายวิชา อาจอยู่ในรูปแบบของกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ
    1.6  ความรู้อาจตั้งขึ้นแบบมีแผนกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยผู้จัด หรืออาจเกิดขึ้นจากตัวบุคคลเองโดยไม่ตั้งใจก็ได้
                2.  ฐานคติด้านจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ ประกอบด้วย
    2.1  จุดมุ่งหมายของการศึกษาตามอัธยาศัยอาจเกิดขึ้นจากผู้จัด จากตัวบุคคล หรือจากกลุ่มบุคคลก็ได้
    2.2  จุดมุ่งหมายของการศึกษาตามอัธยาศัยอาจเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมในการศึกษาการทำงาน หรือการดำรงชีวิตก็ได้
    2.3  ฐานคติด้านการจัดการ ประกอบด้วย
                           2.3.1  การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยมุ่งเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ตามความสนใจและที่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
                            2.3.2  การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยมุ่งที่การสร้างปัจจัยหรือแหล่งอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ ซึ่งอาจเป็นไปได้ทั้งที่เป็นบุคคลและสิ่งไม่มีชีวิตต่าง ๆ
    2.4  ฐานคติด้านการเรียนรู้ ประกอบด้วย
                            2.4.1  บุคคลมีแบบและวิธีการเรียนรู้เป็นของตนเอง
                            2.4.2  บุคคลมีวิธีการประเมินผลการเรียนรู้เป็นของตนเอง
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การศึกษาตามอัธยาศัยนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยตัวของบุคคลนั้นเอง ได้มีความสัมพันธ์กับวัตถุหรือสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น เรียนรู้จากสื่อ จากครอบครัว โดยการพูดคุย หรือเรียนรู้ด้วยตนเอง การลองผิดลองถูกทำให้เกิดการเรียนรู้ และสิ่งเหล่านี้จะอยู่ในรูปแบบของการประเมินผลด้วยตนเอง และการศึกษาตามอัธยาศัยสามารถนำเข้ามาสู่การจัดการศึกษา ให้เกิดระบบ มีกระบวนการเรียนรู้ เป็นที่ยอมรับของสังคมได้
                3.  รูปแบบของการศึกษาตามอัธยาศัย
               ประวีณ รอดเขียว (2551) ได้กล่าวถึง เป้าหมายของการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย คือเพื่อตอบสนองความต้องการการเรียนรู้ตามความสนใจ ความถนัด และศักยภาพของแต่ละบุคคลให้สามารถศึกษาได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
               การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยไม่มีรูปแบบการศึกษา หรือการเรียนรู้ที่ตายตัว ไม่มีหลักสูตรเป็นตัวกำหนดกรอบกิจกรรม หรือขอบข่ายเอกสารสาระหลักการและแนวคิดประกอบการดำเนินงาน สาระการเรียนรู้ การเรียนรู้ขึ้นอยู่กับความต้องการ และแรงจูงใจใฝ่รู้ของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ดี เราสามารถจัดกิจกรรมเพื่อเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตามอัธยาศัยได้ดังนี้
                1. จัดกิจกรรมในแหล่งการเรียนรู้ประเภทต่างๆ เช่นห้องสมุดประชาชน การเรียนรู้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ พิพิธภัณฑ์ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากภูมิปัญญาชาวบ้าน การจัดกลุ่มเสวนา หรือการอภิปราย กิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรม กิจกรรมส่งเสริมการอ่านการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลและความรู้ต่างๆ ฯลฯ
                2. ส่งเสริมสนับสนุน และพัฒนาการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยได้แก่ สนับสนุนสื่อแก่หน่วยงานและแหล่งความรู้ต่างๆ
                3. ส่งเสริมให้หน่วยงานเครือข่ายจัดการศึกษาตามอัธยาศัย เช่นห้องสมุดในสถานที่ราชการ สถานประกอบการ ฯลฯ
                4. ส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนากลุ่มต่าง ๆ ตามความต้องการและความสนใจ เช่น กลุ่มดนตรี กลุ่มสิ่งแวดล้อม พัฒนาชุมชน ฯลฯ
                4.  หลักการจัดการศึกษาตามอัธยาศัย
                หลักการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยสามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ประเด็นด้วยกันคือ
                     4.1  จัดให้สนองกลุ่มเป้าหมาย ทุกเพศและวัย ตามความสนใจ
และความต้องการ
                     4.2  จัดให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต
                     4.3  จัดโดยวิธีหลากหลายโดยใช้สื่อต่างๆ
                     4.4  จัดให้ยืดหยุ่น โดยไม่ยึดรูปแบบใดๆ
                     4.5  จัดให้ทันต่อเหตุการณ์
                     4.6  จัดได้ถูกกาลเทศะ
                     4.7  จัดบรรยากาศ สถานการณ์ และสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า รูปแบบของการศึกษาตามอัธยาศัยนั้นมีลักษณะที่ไม่เป็นทางการไม่มีแบบแผนที่ชัดเจนเหมือนกับการศึกษาในระบบและนอกระบบ โดยเกิดจากการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่บุคคลนั้นพบเจอในแต่ละวันและได้กระทำกิจกรรมนั้นซ้ำ ๆ จนเกิดความชำนาญจึงเกิดเป็นภูมิรู้ขึ้นเป็นการประเมินด้วยตนเอง การศึกษาตามอัธยาศัยนั้นมีหลายประเภทด้วยกัน โดยอาจเกิดจากวิถีชีวิต องค์กร สถาบัน ธรรมชาติ สังคม วัฒนธรรมแต่ละพื้นที่รวมไปถึงหลักการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยนั้นเป็นหลักที่เปิดกว้างสำหรับผู้ที่สนใจเรียนตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้ใหญ่มีวิธีการสอนที่หลากหลายไม่ตายตัวโดยไม่มีจำกัด และสามารถเรียนได้ตลอดชีวิต เป็นต้น

ภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ)

                1.  ทฤษฏีของภูมิปัญญาไทย
                    1.1  ความหมายภูมิปัญญาไทย
                ความเป็นมาการยกย่องเชิดชูเกียรติครูภูมิปัญญาไทยของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรี  ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้ให้ความสำคัญในเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยกำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ในมาตรา 46 มาตรา 69 มาตรา 81 และมาตรา 289 นอกจากนี้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 ได้กำหนดให้กระบวนการเรียนรู้ต้องส่งเสริม ศิลปะ วัฒนธรรม การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และการบูรณาการในเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาและยังกำหนดให้มีการนำประสบการณ์ ความรอบรู้ ความชำนาญ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของบุคคลดังกล่าวมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษา และยกย่อง เชิดชู ผู้ที่ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาไว้ด้วย  
                เพื่อให้มีการนำองค์ความรู้เรื่องภูมิปัญญาไทยเข้าสู่ระบบการศึกษาทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย รวมทั้งเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติครูภูมิปัญญาไทย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมกิจกรรมเรียนรู้ครูภูมิปัญญาไทยเพื่อดำเนินการสรรหาบุคคลผู้ทรงภูมิปัญญายกย่อง เชิดชูเกียรติเป็นครูภูมิปัญญาไทยขึ้นตั้งแต่ปี พ.. 2542 เป็นต้นมา  พร้อมกันนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนในเรื่องการส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติจึงได้จัดทำนโยบายส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษานำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2542 (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,  2545)
                เปลื้อง ณ นคร (2543) ได้ให้ความหมายของ “ภูมิปัญญา” หมายถึง พื้นความรู้ความสามารถ และ ไทยหมายถึง ชื่อประเทศและชนชาติของเรา  ความหมายตามพจนานุกรมจึงหมายความดังนี้ ภูมิปัญญาไทยหมายถึง พื้นความรู้ความสามารถของคนไทย


                ชัยวัฒน์ ขำหินตั้ง (2547 ;  อ้างอิงใน  เสรี พงษ์พิศ.  2545) ได้ให้ความหมายของ
ภูมิปัญญาไทยหมายถึง พื้นเพ รากฐานความรู้ของชาวบ้าน ทั้งในลักษณะที่เป็นนามธรรม คือ ปรัชญาในการดำเนินชีวิต เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ การคิด แก่ เจ็บ ตาย คุณค่าและความหมายของทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน และในลักษณะเป็นรูปธรรม เกี่ยวกับ การทำมาหากิน การเกษตรกรรม หัตถกรรม ศิลปะ ดนตรี และอื่น ๆ
                ชัยวัฒน์ ขำหินตั้ง (2547) ได้ให้ความหมาย ภูมิปัญญาไทย ไว้ว่า ความสามารถ องค์ความรู้ และประสบการณ์ของคนไทยที่ได้สั่งสมสืบทอดกันมา เอื้ออำนวยให้แก้ปัญหาได้ และใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่นและเหมาะสมกับกาลสมัย
                พระมหาปฐวีศักดิ์ ร่มโพธิ์ธารทอง (2551) ได้ให้ความหมาย ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ความสามารถในการดำเนินชีวิตอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ โดยใช้สติปัญญาสั่งสมความรู้ตนอย่างหลากหลาย ผสมผสานความกลมกลืนระหว่างศาสนา สภาพภูมิอากาศ สภาพแวดล้อมการประกอบอาชีพ และกระบวนการเหล่านี้มาจนหลายชั่วคน ซึ่งจะเป็นได้ว่าวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้น เกิดจากการเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์เป็นระยะเวลาอันยาวนาน โดยอาศัยภูมิปัญญาที่มีอยู่มาใช้ในการตั้งถิ่นฐาน การประกอบอาชีพการปรับตัวและแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต จนเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติและสังคมที่อยู่
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2544) ได้ให้ความหมาย  ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและทักษะของคนไทยอันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ที่ผ่านมากระบวนการเรียนรู้ เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนา และถ่ายทอด สืบต่อกันมาเพื่อให้แก้ปัญหา และพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยให้สมดุลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัย
                เอกวิทย์ ณ ถลาง (2544) ได้ให้ความหมายของ ภูมิปัญญาไทยหมายถึง ผลกระทบของประสบการณ์สั่งสมของคนที่เรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ปฏิสัมพันธ์ในชนกลุ่มเดียวกันและระหว่างกลุ่มชนหลาย ๆ ชาติพันธุ์ รวมไปถึงโลกทัศน์ที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติเอื้ออำนวยให้คนไทยแก้ปัญหาได้ ดำรงอยู่และสร้างสรรค์อารยธรรมได้อย่างมีดุลยภาพกับสิ่งแวดล้อม
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ภูมิปัญญาไทยหมายถึง ภูมิรู้ของชาวบ้านหรือชาติพันธุ์ของอารยะธรรมนั้น ๆ ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ที่เก็บสะสมเอาวัฒนธรรม ประเพณี จากคนรุ่นหนึ่ง มาสู่อีกรุ่นหนึ่ง เกี่ยวกับวิถีชีวิตบริบทของแต่ละพื้นที่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม การทำมา
หากิน ศิลปะ และสิ่งอื่น ๆ เป็นต้น
                    1.2  องค์ประกอบของภูมิปัญญาไทย
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา  (2551) หลักการเกิดภูมิปัญญาไทยและขอบข่ายของภูมิปัญญาไทย คือ กระบวนการเกิดภูมิปัญญาไทย เป็นการเกิดจากบุคคลที่มีลักษณะใฝ่รู้ รักดี ทำดี และช่วยแก้ปัญหา ซึ่งบุคคลดังกล่าวนี้มีความสามารถในการได้มาของ องค์ความรู้ในภูมิปัญญานั้น ได้จาก 1) คิดรังสรรค์ได้เอง 2) สืบทอดจากบรรพบุรุษ ของครอบครัว 3) เรียนรู้จากผู้รู้ 4) เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ 5) เรียนรู้จากศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และการละเล่น 6) เรียนรู้จากนับถือเชื่อ และ 7) เรียนรู้จากสื่อต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้องค์ความรู้ที่นำไปสู่การพัฒนา เลือกสรรและปรับปรุง โดยองค์ความรู้ที่ได้นี้จะนำไปใช้ปฏิบัติซึ่งส่งผลให้ ได้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ คือ 1) มีความรู้ 2) มีทักษะ 3) มีเทคนิค 4) มีแหล่งการเรียนรู้ และ 5) มีเครือข่าย ทั้งนี้ความเชี่ยวชาญเฉพาะที่มีจะเป็นไป ตามขอบข่ายตามนโยบายส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษา ซึ่งได้รับความเห็นชอบ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2542
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2552) ได้กำหนดขอบข่าย ภูมิปัญญาไทยไว้ 9 ด้าน ดังนี้
                1.  ด้านเกษตรกรรม ได้แก่ ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะและเทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่า ดั้งเดิม ซึ่งคนสามารถพึ่งพาตนเองในสภาวการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่น การทำการเกษตรแบบผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้าน การผลิต และการรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเกษตร เป็นต้น
                2.  ด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม ได้แก่ การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สมัยใหม่ในการแปรรูป ผลิตเพื่อการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม อันเป็นกระบวนการให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดทั้ง การผลิตและการจำหน่ายผลผลิตทางหัตถกรรม เช่น การรวมกลุ่มของกลุ่มโรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุ่มหัตถกรรม เป็นต้น
                3.  ด้านการแพทย์แผนไทย ได้แก่ ความสามารถในการจัดการป้องกัน และรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทาง ด้านสุขภาพและอนามัยได้ เช่น ยาจากสมุนไพรอันมีอยู่หลากหลาย การนวดแผนโบราณ การดูแลและรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน เป็นต้น
                4.  ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ความสามารถ เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและ ยั่งยืน เช่น การบวชป่า การสืบชะตาแม่น้ำ การทำแนวปะการังเทียม การอนุรักษ์ป่าชายเลน การจัดการป่าต้นน้ำและป่าชุมชน เป็นต้น
                5.  ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน ได้แก่ ความสามารถในด้านการสะสม และบริหารกองทุนและสวัสดิการชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตราและโภคทรัพย์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในกลุ่ม เช่น การจัดการกองทุนของชุมชนในรูปของสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมถึงความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิตของคนให้เกิด คู่มือการสรรหาและคัดเลือกครูภูมิปัญญาไทยความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ รักษาพยาบาลของชุมชน และการจัดระบบสวัสดิการบริการชุม
                6.  ด้านศิลปกรรม ได้แก่ ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานทางด้าน ศิลปะสาขาต่าง ๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม นาฏศิลป์ ดนตรี ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ การละเล่นพื้นบ้าน และนันทนาการ เป็นต้น
                7.  ด้านภาษาและวรรณกรรม ได้แก่ ความสามารถในการอนุรักษ์ และสร้างสรรค์ผลงานด้านภาษา คือ ภาษาถิ่น ภาษาไทยในภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึง ด้านวรรณกรรมท้องถิ่นและการจัดทำสารานุกรมภาษาถิ่น การปริวรรตหนังสือ โบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถิ่นของท้องถิ่น
ต่าง ๆ
                8.  ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี ได้แก่ ความสามารถประยุกต์ และปรับใช้หลักธรรมคำสอนทางศาสนา ปรัชญาความเชื่อและประเพณีที่มีคุณค่าให้เหมาะสมต่อบริบททางเศรษฐกิจ สังคม เช่น การถ่ายทอดวรรณกรรม คำสอน การบวชป่า การประยุกต์ประเพณีบุญประทายข้าว เป็นต้น
                9.  ด้านโภชนาการ ได้แก่ ความสามารถในการเลือกสรร ประดิษฐ์ ปรุงแต่งอาหาร และยาได้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในสภาวการณ์ ต่าง ๆ ตลอดจนผลิตเป็นสินค้าและบริการส่งออกที่ได้รับความนิยมแพร่หลายมาก รวมถึงการขยายคุณค่าเพิ่มของทรัพยากรด้วย
   จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า องค์ประกอบของภูมิปัญญาไทยนั้นเกิดจากตัวของบุคคลที่มีความสนใจใฝ่เรียนรู้ จึงเกิดผลงานที่ออกมาในรูปแบบที่สามารถ่ายทอดสืบทอดให้บุคคลอื่นได้ จนสามารถกำหนดขอบเขตของแต่ละภูมิปัญญาไทยได้
                    1
.3  ประเภทของภูมิปัญญาไทย
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2551) ได้อธิบายถึงประเภทของภูมิปัญญาไทยไว้
3 ประเภทดังนี้
                      1.  ภูมิปัญญาพื้นบ้าน คือ องค์ความรู้ ความชำนาญและประสบการณ์ ที่สั่งสมและสืบทอดกันมา เพื่อใช้แก้ปัญหาในการปรับตัวโดยมีการเรียนรู้ และสืบทอดต่อกันมาจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ของคนในพื้นบ้านนั้น ๆ หรือเป็นวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวบ้าน ในพื้นที่
                       2.  ภูมิปัญญาชาวบ้าน คือ ความรู้ ทักษะ และวิธีการปฏิบัติของชาวบ้าน ที่ได้มาจากประสบการณ์แต่ละเรื่องและแต่ละสภาพแวดล้อม โดยมีเงื่อนไขของปัจจัยเฉพาะแตกต่างกันไปสำหรับการนำมาใช้แก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ต้องอาศัยศักยภาพที่มีอยู่โดยชาวบ้านคิดเอง เป็นความรู้ที่สร้างสรรค์และมีส่วนเสริมสร้าง การผลิต รวมทั้งเป็นความรู้ของชาวบ้านที่สั่งสมมาส่งผลให้มีโครงสร้างความรู้ ที่มีหลักการ มีเหตุและมีผลในตัวเอง จนกระทั่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทาง วัฒนธรรม และเป็นความรู้ที่ปฏิบัติได้มีพลังและสำคัญยิ่งเหล่านี้ช่วยให้ชาวบ้านมีชีวิตอยู่รอด สร้างสรรค์การผลิตและช่วยในด้านการทำงาน
                       3.  ภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ความรู้ที่มีอยู่ทั่วไป ๆ ในสังคม ชุมชนและ ในตัวผู้รู้เอง เป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิตของคนนั้น ๆ ที่เรียนรู้ ผ่านกระบวนการศึกษา สังเกต คิดวิเคราะห์และลงมือปฏิบัติจนเกิดปัญญาในแต่ละท้องถิ่นนั้น ๆ จนกระทั่งสิ่งที่เรียนรู้มาจากหลาย ๆ เรื่องได้ถูกประกอบกันขึ้น แล้วตกผลึกเป็นองค์ความรู้ ซึ่งจัดว่าเป็นพื้นฐานขององค์ความรู้สมัยใหม่ที่ช่วย ในการเรียนรู้เพื่อการแก้ปัญหา ช่วยการจัดการและปรับตัวในการดำเนินชีวิตของคนเรา จึงควรมีการสืบค้น รวบรวม ศึกษา ถ่ายทอด พัฒนาและนำไป ใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ประเภทของภูมิปัญญาไทยมีหลายรูปแบบที่เกิดจากการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง คือ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ซึ่งได้จากการเรียนรู้วิถีชีวิต ส่วนภูมิปัญญาชาวบ้านได้จากสภาพแวดล้อม และภูมิปัญญาท้องถิ่นได้จาก การศึกษาแหล่งเรียนรู้ชุมชนจนกลายเป็นผู้ชำนาญ หรือผู้รู้
                    1.4  ลักษณะของภูมิปัญญาไทย
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2551) ได้อธิบายถึง ลักษณะของภูมิปัญญาไทยไว้ดังนี้
                      1.  เป็นเรื่องของการใช้ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) ความเชื่อ (Belief) และพฤติกรรม (Behavior)
                      2.  แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง คนกับคน คนกับธรรมชาติ คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
                      3.  เป็นองค์รวมหรือกิจกรรมทุกอย่างในวิถีชีวิต
                      4.  เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหา การจัดการ การปรับตัว การเรียนรู้ เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน และสังคม
                      5.  เป็นแกนหลักหรือกระบวนทัศน์ในการมองชีวิต เป็นพื้นความรู้ในเรื่องต่าง ๆ
                      6.  มีลักษณะเฉพาะหรือมีเอกลักษณ์ในตัวเอง
                      7.  มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคม ตลอดเวลา
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ลักษณะของภูมิปัญญาไทยเป็นสิ่งกำหนดทิศทางของกระบวนการของภูมิปัญญาไทยให้เกิดระบบขึ้น และอยู่บนพื้นฐานของกฎระเบียบที่เป็นมาตรฐานในการศึกษาเรียนรู้
                    1.5  ความสำคัญของภูมิปัญญาไทยในการแก้ปัญหาสังคม
                สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ( 2545) ได้กล่าวว่า ในขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศได้ส่งผลให้ชาวไทยบางกลุ่มต้องประสบกับภาวะล้มละลาย เกิดความเสื่อมถอยทางด้านคุณธรรมจริยธรรมและกระทบต่อโครงสร้างโดยรวมของสังคม ก็ยังมีประชาชนชาวไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้ ตรงกันข้ามเขาเหล่านี้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ และดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข กล่าวได้ว่าบุคคลกลุ่มนี้ได้ใช้ ภูมิปัญญาไทยที่คนไทยได้คิดค้น เรียนรู้ สั่งสม กลั่นกลองและทดลองใช้จนตกผลึกสามารถนำความรู้นั้นมาแก้ไขปัญหาของตนเองและสังคม ภูมิปัญญานี้เองได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมา จนมีบทบาทสำคัญแก่การพัฒนาประเทศในทุกมิติ ดังนั้นจึงมีความ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสืบสานภูมิปัญญาไทยนี้ไว้ให้คงอยู่สืบไป การดำเนินงานสู่เป้าหมายในอนาคต ควรดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่
                      1.  การส่งเสริมผู้นำท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน และบุคลากรในท้องถิ่นให้มีโอกาสได้พัฒนาภูมิปัญญาและสร้างสรรค์ความรู้ใหม่
                      2.  ดำเนินการให้เกิดสถาบันการเรียนรู้ของชุมชน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ทรงภูมิปัญญาสามารถถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์แก่ผู้เรียนทั้งในชุมชนของตนเองและชุมชนอื่น ซึ่งสถาบันการเรียนรู้ของชุมชนนี้อาจมีชื่อเรียกในรูปแบบที่แตกต่างกัน อาทิ มหาวิทยาลัยชาวบ้าน มหาวิทยาลัยธรรมชาติ ศูนย์การเรียนรู้ เครือข่าย ศูนย์ และกลุ่ม
                      3.  ศึกษาและจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศของชุมชน
                      4.  ดำเนินการให้ภูมิปัญญาไทยเป็นที่ยอมรับเท่าเทียมภูมิปัญญาสากล
                      5.  ให้ชุมชนมีบทบาทเป็นรากฐานของการเรียนรู้และการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งทางด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
                สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้เล็งเห็น ความสำคัญของภูมิปัญญาและการสืบสานภูมิปัญญาไทย จึงได้จัดทำนโยบายส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษาขึ้นโดยได้ผ่านความเห็นชอบจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2542 ในนโยบายดังกล่าวได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า  ภูมิปัญญาไทยจะได้รับการฟื้นฟูและนำมาปรับใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลง โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการศึกษาสำหรับคนทั้งชาติ และเป็นไปเพื่อเน้นคุณค่าทางจิตพิสัยนำไปสู่ดุลยภาพอย่างยั่งยืนจนเกิดเป็นพลังขับเคลื่อนสู่การแก้ไขปัญหา และการพัฒนาตนเองและสังคมตามแนวทางที่เหมาะสมแก่ประเทศไทยในนโยบายการส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษานั้นมีอยู่ 4 ข้อกล่าวคือ
                1.  นำภูมิปัญญาเข้าสู่การศึกษาของชาติ โดยเลือกสรรสาระและกระบวนการเรียนรู้เข้าสู่ระบบการศึกษา ทั้งการศึกษาในโรงเรียน การศึกษานอกโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย    2.  ยกย่องและเชิดชูเกียรติ ครูภูมิปัญญาและสนับสนุนให้มีบทบาทเสริมในการถ่ายทอดภูมิปัญญาในการจัดการศึกษาทุกระดับและทุกระบบ รวมทั้งให้แบบอย่างและชี้นำ ด้านวิถีคิด วิธีการเรียนรู้ และการดำเนินชีวิตที่ได้ผ่านการทดสอบมามาก
                3.  สนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านภูมิปัญญา เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาที่หลากหลายให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและท้องถิ่น
                4.  ประมวลคลังข้อมูลเกี่ยวกับสารัตถะ องค์กร และเครือข่ายภูมิปัญญา ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ภูมิปัญญาไทยนั้นมีส่วนที่ช่วยแก้ไขปัญหาของสังคมในปัจจุบันอย่างมากเพราะมีการนำภูมิปัญญาที่มีอยู่เอาเข้ามาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวัน ลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมาก เกิดการประหยัด เช่นการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน และมีการส่งเสริมให้กำลังใจแก่ผู้รู้ หรือผู้สืบทอดภูมิปัญญาให้มีแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น