บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

                                                               บทที่ 4

                                                                                      ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

               การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลำดับหัวข้อดังนี้
                1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการวิจัยเชิงปริมาณ
                2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการวิจัยเชิงคุณภาพ

1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการวิจัยเชิงปริมาณ

               สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล มีดังนี้
                     n        แทน   จำนวนตัวอย่าง
             X       แทน  ค่าเฉลี่ย (Mean)
                     S.D.   แทน   ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

ขั้นตอนในการวิเคราะห์ข้อมูล

               ข้อมูลจากแบบสอบถาม ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล มีขั้นตอนการดำเนินการดังนี้
               ขั้นที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์โดยการแจกแจงความถี่ และค่าร้อยละ
               ขั้นที่ 2 ข้อมูลความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล วิเคราะห์โดยการหาค่าเฉลี่ย (Mean : X  )และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : S.D.)

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

      การนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ได้นำเสนอเป็น 2 ตอน คือ
               ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
               ตอนที่ 2 ข้อมูลความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล

               ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
                   1.1  ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปแสดงในตารางที่ 6

ตารางที่ 6  แสดงจำนวนและร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม (n=113)

ตัวแปร
จำนวน
ร้อยละ
เพศ


ชาย
65
57.5
หญิง
48
42.5
สถานภาพ


ครอบครัวแม่ครูราตรี ศรีวิไล
3
2.7
คณะกรรมการที่ปรึกษาศูนย์การเรียน ฯ
7
6.2
ลูกศิษย์
67
59.0
ครู-อาจารย์
10
8.8
บุคคลอื่น ๆ
26
23.0
อายุ


น้อยกว่า 18 ปี
6
5.3
18-35 ปี
59
52.2
36-45 ปี
20
17.7
46 ปีขึ้นไป
28
24.8
ระดับการศึกษา


ต่ำกว่าปริญญาตรี
39
34.5
ปริญญาตรี
51
45.1
ปริญญาโท
19
16.8
ปริญญาเอก
4
3.5
               จากตารางที่ 6 แสดงให้เห็นว่า ในจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 113 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 57.5) อายุระหว่าง 18-35 ปี (ร้อยละ52.2) เป็นลูกศิษย์ (ร้อยละ 59.0) และการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 45.1)

               ตอนที่ 2 ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                   2.1 ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล โดยรวมและรายด้าน
                ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล แสดงในตารางที่ 7

ตารางที่ 7  แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การ
                  เรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ตามคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
                  โดยรวมและรายด้าน (n=113)

การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
ระดับความคิดเห็น
X
S.D.
ความหมาย
ลำดับที่
1.
ด้านองค์กรและการบริหารจัดการ
4.72
.23
มากที่สุด
1
2.
ด้านบุคลากร
4.64
.33
มากที่สุด
5
3.
ด้านงบประมาณ
3.24
.48
ปานกลาง
6
4.
ด้านผู้เรียน
4.71
.26
มากที่สุด
2
5.
ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน
4.65
.28
มากที่สุด
4
6.
ด้านผลกระทบต่อสังคม
4.71
.28
มากที่สุด
3

โดยรวม
4.45
.20
มาก
-

               จากตารางที่ แสดงให้เห็นว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเห็นว่าการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล มีการดำเนินการในระดับปานกลางถึงมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายด้าน (X=4.45) เมื่อพิจารณาในรายด้าน พบว่า มีการดำเนินการสูงสุดในด้านองค์กรและการบริหารจัดการ (X =4.72) รองลงมาได้แก่ด้านผู้เรียน (X = 4.71) ด้านผลกระทบต่อสังคม ( X=4.71) และด้านที่ดำเนินการต่ำสุด คือ ด้านงบประมาณ ( X= 3.24)
                2.2  ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในรายด้านและรายข้อ
                      2.2.1 ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ด้านองค์กรและการบริหารจัดการ

ตารางที่ 8     แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนิน
                      การศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ด้านองค์กร
                      และการบริหารจัดการ ตามคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
(n=113)

การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์ฯ
ด้านองค์กรและการบริหารจัดการ
ระดับความคิดเห็น
X
S.D.
ความหมาย
ลำดับที่

       1) องค์กร




1.
การจัดโครงสร้างการบริหารศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ เป็นระบบ มีความคล่องตัวในการบริหารงาน
4.66
.52
มากที่สุด
7
2.
มีการกำหนดเป้าหมาย ระเบียบแบบแผน ในการดำเนินการอย่างชัดเจน
4.73
.44
มากที่สุด
5
3.
มีสายการบังคับบัญชาในการดำเนินการอย่างชัดเจน
4.76
.42
มากที่สุด
4

       2) การบริหารจัดการ




4.
มีการวางแผนในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ อย่างเป็นระบบชัดเจน
4.83
.37
มากที่สุด
1
5.
มีการวางแผนจัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สถานที่ และกิจกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับหน้าที่ของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
4.80
.39
มากที่สุด
2
6.
มีการคัดเลือกบุคคลให้มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งอย่างชัดเจน
4.51
.50
มากที่สุด
8
7.
มีการมอบหมายหน้าที่ในการปฏิบัติงานอย่างชัดเจนเสมอ
4.70
.45
มากที่สุด
6
8.
มีการกำกับ ติดตาม ประเมินผล ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย  ฯตลอดเวลาในการปฏิบัติงาน
4.76
.42
มากที่สุด
3

โดยรวม
4.72
.23
มากที่สุด
-
               จากตารางที่ แสดงให้เห็นว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเห็นว่าการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลในด้านองค์กรและการบริหารจัดการ มีการดำเนินการในระดับมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ ( X =4.72) เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ การวางแผนในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย อย่างเป็นระบบชัดเจน ( X =4.83) รองลงมาได้แก่ การวางแผนจัดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สถานที่ และกิจกรรมต่าง ๆให้สอดคล้องกับหน้าที่ของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ (  X=4.80) การกำกับติดตามประเมินผลศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ( X=4.76) ตลอดเวลาในการปฏิบัติงาน และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ การคัดเลือกบุคคลให้มีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งอย่างชัดเจน
(X =4.66)
                       2.2.2 ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ด้านบุคลากร

ตารางที่ 9     แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนิน
                      การศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                      ด้านบุคลากร ตามคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (n=113)

การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์ฯ
ด้านบุคลากร
ระดับความคิดเห็น
X
S.D.
ความหมาย
ลำดับที่
1.
บุคคลากรมีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
4.61
.48
มากที่สุด
3
2.
บุคลากรมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและช่วยให้ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯบรรลุเป้าหมาย
4.70
.45
มากที่สุด
2
3.
บุคลากรมีขวัญและกำลังใจในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
4.71
.45
มากที่สุด
1
4.
บุคลากรมีความสามัคคีกันดีในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
4.54
.70
มากที่สุด
4

โดยรวม
4.64
.33
มากที่สุด
-

               จากตารางที่ แสดงให้เห็นว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเห็นว่าการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในด้านบุคลากร มีการดำเนินการในระดับมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ (    X= 4.64) เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ บุคลากรมีขวัญและกำลังใจในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ( X  = 4.71) รองลงมาได้แก่ บุคลากรมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและช่วยให้ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ บรรลุเป้าหมาย ( X=4.70) บุคคลากรมีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ (X =4.61) และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ บุคลากรมีความสามัคคีกันดีในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ (  X=4.54)
                       2.2.3 ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ด้านงบประมาณ

ตารางที่ 10    แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนิน
                       การศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                       ด้านงบประมาณ ตามคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (n=113)

การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์ฯ
ด้านงบประมาณ
ระดับความคิดเห็น
X
S.D.
ความหมาย
ลำดับที่
1.
งบประมาณที่รัฐจัดให้มีความเพียงพอในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
1.84
.78
น้อย
2
2.
รายได้จากการจัดกิจกรรมของศูนย์ ฯ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง
4.64
.58
มากที่สุด
1

โดยรวม
3.24
.48
ปานกลาง


               จากตารางที่ 10 แสดงให้เห็นว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเห็นว่าการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในด้านงบประมาณ มีการดำเนินการในระดับปานกลาง ทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ ( =3.24) เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ รายได้จากการจัดกิจกรรมของศูนย์ ฯ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง ( =4.64) และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ งบประมาณที่รัฐจัดให้มีความเพียงพอในการบริหารจัดการศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ( =1.84)


                       2.2.4 ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ด้านผู้เรียน

ตารางที่ 11    แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนิน
                       การศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ด้านผู้เรียน
                       ตามคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
(n=113)

การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์ฯ
ด้านผู้เรียน
ระดับความคิดเห็น
.
S.D.
ความหมาย
ลำดับที่
1.
ผู้เรียนเห็นความสำคัญของการสอนหมอลำในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
4.80
.41
มากที่สุด
2
2.
ผู้เรียนต้องการเรียนเพิ่มเติมนอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียน (การศึกษาในระบบ)
4.81
.39
มากที่สุด
1
3.
ผู้เรียนได้ประโยชน์จากการเรียนที่ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
4.77
.41
มากที่สุด
3
4.
ผู้เรียนมีความพร้อมในด้านเวลาของการมาเรียนที่ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
4.48
.53
มาก
6
5.
ผู้เรียนมีความสนใจ ใฝ่รู้ ในการเรียนหมอลำของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
4.67
.47
มากที่สุด
5
6.
ผู้เรียนมีความมุ่งมานะ พยายามในการฝึกเรียนหมอลำ จากศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ
4.75
.49
มากที่สุด
4

โดยรวม
4.71
.26
มากที่สุด
-

               จากตารางที่ 11 แสดงให้เห็นว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความเห็นว่าการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในด้านด้านผู้เรียน มีการดำเนินการในระดับมากถึงมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ (   X=4.71) เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ ผู้เรียนต้องการเรียนเพิ่มเติมนอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียน (การศึกษาในระบบ)(X=4.81) รองลงมาได้แก่ ผู้เรียนเห็นความสำคัญของการสอนหมอลำในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ (  X=4.80) ผู้เรียนได้ประโยชน์จากการเรียนที่ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ (  X=4.77) และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ ผู้เรียนมีความพร้อมในด้านเวลาของการมาเรียนที่ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย (X  =4.48)
                       2.2.5 ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน

ตารางที่ 12    แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนิน
                       การศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                       ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ตามคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
(n=113)

การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์ฯ
ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน
ระดับความคิดเห็น
X
S.D.
ความหมาย
ลำดับที่
1.
การจัดการเรียนการสอนมีระบบและเป้าหมายที่ชัดเจน
4.55
.54
มากที่สุด
10
2.
มีการแยกความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนการสอน
4.69
.46
มากที่สุด
2
3.
มีการเสริมแรงจูงใจในขณะที่สอนอยู่ตลอดเวลา
4.72
.44
มากที่สุด
1
4.
ผู้เรียนได้คิดเอง ทำเอง ปฏิบัติเอง ในขณะที่เรียน
4.66
.47
มากที่สุด
5
5.
ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการแสดงกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียน
4.67
.47
มากที่สุด
4
6.
วิธีการถ่ายทอดความรู้มีขั้นตอนชัดเจน เป็นระบบและแบบแผน
4.65
.49
มากที่สุด
6
7.
การเรียนการสอนเข้าใจง่ายและนำไปปฏิบัติได้จริง
4.63
.48
มากที่สุด
7
8.
ผู้เรียนมีความรู้สึกมั่นใจและตั้งใจในขณะที่เรียน
4.60
.49
มากที่สุด
9
9.
กิจกรรมการเรียนการสอนไม่น่าเบื่อหน่าย
4.63
.50
มากที่สุด
8
10.
ผู้เรียนรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้มาเรียนอย่างใกล้ชิดกับ
ครูภูมิปัญญาไทย ฯ
4.69
.46
มากที่สุด
3

โดยรวม
4.65
.28
มากที่สุด
-

                จากตารางที่
12 แสดงให้เห็นว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความคิดเห็นของการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในด้านกิจกรรมการเรียนการสอน มีการดำเนินการในระดับมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ  (  X  =4.65) เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ มีการเสริมแรงจูงใจในขณะที่สอนอยู่ตลอดเวลา ( X=4.72) รองลงมาได้แก่ มีการแยกความแตกต่างระหว่างบุคคลในการเรียนการสอน ( X=4.69) ผู้เรียนรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้มาเรียนอย่างใกล้ชิดกับครูภูมิปัญญาไทย ฯ ( X  =4.69) และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ การจัดการเรียนการสอนมีระบบและเป้าหมายที่ชัดเจน (   X=4.55)
                       2.2.6 ความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ด้านผลกระทบต่อสังคม

ตารางที่ 13    แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการ
                        ดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ของแม่ครูราตรี ศรีวิไล
                          ด้านผลกระทบต่อสังคม ตามคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (n=113)

การดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยในศูนย์ฯ
ด้านผลกระทบต่อสังคม
ระดับความคิดเห็น
X
S.D.
ความหมาย
ลำดับที่
1.
การสอนของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทย ฯ ช่วยให้ผู้เรียนมีอาชีพหาเลี้ยงชีพได้
4.69
.46
มากที่สุด
4
2.
กลอนลำของแม่ครูราตรี ศรีวิไลที่ได้รับการเผยแพร่ในรูปแบบของสื่อต่างๆ เป็นส่วนซึ่งทำให้ศิลปะหมอลำดำรงอยู่ได้
4.74
.43
มากที่สุด
3
3.
แม่ครูราตรี ศรีวิไลเป็นผู้ที่ช่วยสืบสานภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสานให้มีชีวิตชีวาและยั่งยืนต่อไป
4.76
.42
มากที่สุด
2
4.
แม่ครูราตรี ศรีวิไลทำให้คนทั่วไปเห็นความสำคัญของหมอลำ
4.59
.51
มากที่สุด
5
5.
ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลช่วยในการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้าน ของหมอลำอีสานไว้
4.80
.39
มากที่สุด
1

โดยรวม
4.71
.20
มากที่สุด
-

                จากตารางที่ 13 แสดงให้เห็นว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีความคิดเห็นของการดำเนินการศึกษาตามอัธยาศัยของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในด้านผลกระทบต่อสังคม มีการดำเนินการในระดับมากที่สุดทั้งโดยภาพรวมและในรายข้อ (X =4.71) เมื่อพิจารณาในรายข้อ พบว่า ข้อที่มีการดำเนินการมากที่สุดคือ ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลช่วยในการอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านของหมอลำอีสานไว้(  X =4.80) รองลงมาได้แก่ แม่ครูราตรี ศรีวิไลเป็นผู้ที่ช่วยสืบสานภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสานให้มีชีวิตชีวาและยั่งยืนต่อไป (  X =4.76) กลอนลำของแม่ครูราตรี ศรีวิไลที่ได้รับการเผยแพร่ในรูปแบบของสื่อต่างๆ เป็นส่วนซึ่งทำให้ศิลปะหมอลำดำรงอยู่ได้( X=4.74) และข้อที่มีการดำเนินการต่ำสุดคือ แม่ครูราตรี ศรีวิไลทำให้คนทั่วไปเห็นความสำคัญของหมอลำ (X =4.59)

2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการวิจัยเชิงคุณภาพ
     
               ผลการวิเคราะห์ชีวประวัติและผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไล และหาแนวทางอนุรักษ์
ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ)โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ มีหัวข้อดังต่อไปนี้
               2.1  ชีวประวัติและผลงานแม่ครูราตรี ศรีวิไล
               แม่ครูราตรี ศรีวิไล เดิมชื่อ นางราตรีสวัสดิ์ อุ่นทะยา เกิดเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2495 เกิดที่อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันอายุ 59 ปี ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น ราตรีศรีวิไล บงสิทธิพร มีนามปากกาว่า “หมอลำราตรี ศรีวิไล” บิดาชื่อนายเสริม นาห้วยทราย มารดาชื่อนางหมุน นาห้วยทราย มีอาชีพศิลปินหมอลำกลอนและนักประพันธ์กลอนลำ  มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 5 คน ส่วนผลงานของแม่ครูราตรี ศรีวิไลนั้นมีมากมายเช่น การแต่งกลอนลำรณรงค์เผยแพร่ช่วยงานสังคม เป็นวิทยากรตามสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เป็นต้น (ผลการวิจัยได้นำเสนออย่างละเอียดและสมบูรณ์ในบทที่ 5)
               2.2 การจ้างงานและกิจกรรมการแสดงของหมอลำกลอนย้อนยุค และหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง)
               แนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ) ของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล ในระหว่าง ปีพ.. 2547-2554 จากสถิติของการแสดงหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) และหมอลำกลอนย้อนยุกต์ตั้งแต่ปีพ.. 2547-2554 พบว่า
               ในปีพ.. 2547-2549 การจ้างแสดงของหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 80 การจ้างแสดงของหมอลำกลอนย้อนยุคมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 20 เป็นเพราะว่าในช่วงนี้เป็นค่านิยมของผู้ฟังหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) ราคาการจ้างอยู่ในหลักพันเป็นต้นไปผู้ที่มาว่าจ้าง (เจ้าภาพ)ไปแสดงส่วนมากก็จะจ้างหมอลำไปแสดงในงาน ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญแจกข้าว (อุทิศส่วนกุศล) และงานฉลองสมโภชต่าง ๆ เป็นต้น จึงเกินความจำเป็นในจ้างหมอลำคณะใหญ่เพราะมีราคาแพงเกินทุนของการจ้าง ส่วนหมอลำกลอนย้อนยุคที่ถูกจ้างน้อยนั้นอาจเป็นเพราะว่าดนตรีไม่เร้าใจกลุ่มของวัยรุ่น ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่วัย 40-50 ขึ้นไป ที่ดูหมอลำกลอนย้อนยุค และราคาก็ไม่ต่างกันมากกับหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) ผู้ว่าจ้างหมอลำจึงเลือกที่จะจ้างหมอลำกลอนประยุกต์
(หมอลำซิ่ง)มาชม
               ในปีพ.. 2550-2551 การจ้างแสดงของหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 60 การจ้างแสดงของหมอลำกลอนย้อนยุค มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 40 เป็นเพราะว่าในช่วงนี้หมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) นั้นผู้ว่าจ้างยังให้ความนิยมจ้างหมอลำไปทำการแสดงอยู่ เพราะราคาไม่แพงจนเกินไปสามารถจ้างไปแสดงได้สะดวกกว่าหมอลำคณะใหญ่ที่มีราคาค่อนข้างแพงเลยไม่สามารถจ้างได้สำหรับคนที่มีทุนน้อยจึงหันไปจ้างหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) แทน ส่วนหมอลำกลอนย้อนยุคนั้นอาจเป็นเพราะว่าดนตรีไม่เร้าใจไม่ถูกใจกลุ่มของผู้ฟังที่เป็นวัยรุ่นเพราะไม่ได้เต้นหน้าเวทีแต่ในช่วงนี้หมอลำกลอนย้อนยุคก็ได้เริ่มมีการจ้างไปแสดงขึ้นมาบ้างแล้วอาจเป็นเพราะหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง)เกิดการทะเลาะวิวาทกันมากขึ้นผู้ว่าจ้าง (เจ้าภาพ) ควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ทำให้หมอลำต้องหยุดเล่นกลางครัน ผู้ว่าจ้างจึงเริ่มหันมากจ้างหมอลำกลอนย้อนยุคเพื่อลดการทะเลาะวิวาทกันหน้าเวทีหมอลำแต่ก็ยังมีจ้างหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) อยู่มากมาแสดง
               ในปีพ.. 2552-2554 การจ้างแสดงของหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 50 การจ้างแสดงของหมอลำกลอนย้อนยุค มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 50 เป็นเพราะว่าผลกระทบของการทะเลาะวิวาทกันหน้าเวทีหมอลำนั้น ทำให้ส่งผลกระทบไปถึงการจ้างงานหมอลำไปแสดง และปัญหาการทะเลาะกันของวัยรุ่นชายนั้นจะเกิดจากการแสดงหมอลำกลอนประยุกต์ (ลำซิ่ง)มากที่สุดเพราะมีดนตรีที่เร้าใจผู้ฟัง จึงเป็นเหตุให้ ปี 2552-2554 นี้ หมอลำกลอนย้อนยุคได้กระเตื้องขึ้นมาถึงร้อยละ 50 คือมีผู้สนใจมาจ้างงานมากขึ้นเพราะลดการทะเลาะวิวาทกันหน้าเวทีลงได้เป็นอย่างมาก ส่วนหมอลำคณะใหญ่ ๆ (ลำเรื่องต่อกลอน) ก็มีราคาค่อนข้างแพงเกินทุนของผู้ว่าจ้าง และสถานที่ก็ไม่มีให้หมอลำตั้งเวที จึงเป็นเหตุให้หมอลำกลอนย้อนยุคมีแนวโน้มจะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง
               วิเคราะห์สรุปการเปลี่ยนแปลงของผู้เรียนที่สนใจเรียนหมอลำกลอนย้อนยุค และหมอลำกลอนประยุกต์ (หมอลำซิ่ง) ดังนี้
               ในปีพ.. 2547-2551 มีผู้ที่สนใจเรียนหมอลำทั้งผู้ชายและผู้หญิงโดยมีจำนวนที่เท่ากันคือ ร้อยละ 90 อาจเป็นเพราะว่าในช่วงนี้มีผู้มาจ้างงานเป็นจำนวนมาก ส่งผลไปถึงผู้ที่มีใจรักทางด้านการแสดงหมอลำ มีจิตวิญญาณทางด้านหมอลำ อยากเป็นศิลปิน อยากสืบทอดและถ่ายทอดให้ผู้อื่นต่อไป ผู้ที่สนใจเรียนหมอลำจึงได้ทำการแสวงหาครูที่จะถ่ายทอดความรู้หมอลำนี้ให้ จึงได้เลือกมาเรียนที่ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล เหตุที่ผู้เรียนเลือกที่จะมาเรียนที่ศูนย์การเรียน
ภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล เป็นเพราะว่า ผู้เรียนอยากเรียนกับครูหมอลำที่เป็นต้นฉบับ (ผู้ก่อตั้ง) หมอลำกลอนประยุกต์ (ลำซิ่ง) และเห็นการเรียนการสอนที่ควบคู่ไปกับคุณธรรมจริยธรรม และการแสดงอยู่ภายใต้จารีตประเพณี ไม่นำความเสื่อมเสียมาให้กับวัฒนธรรม ในช่วง พ.. 2547-2551 จึงมีผู้มาเรียนหมอลำกับแม่ครูราตรี ศรีวิไล อย่างไม่ขาดสาย
               ในปีพ.. 2552-2554 ผู้ที่สนใจเรียนหมอลำที่เป็นผู้หญิงได้ลดจำนวนลงอย่างมาก ส่วนผู้ชายหันกลับมาเรียนหมอลำเพิ่มมากขึ้น เหตุที่ทำให้ผู้หญิงลดน้อยลงเป็นเพราะว่า สถานการณ์หน้าเวทีขณะที่แสดงลำอยู่นั้นเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น เกิดการลวนลามจับมือหมอลำหญิง กระฉากตกเวที เป็นต้น และลำบากในการเดินทางไปทำการแสดงในสถานที่ต่าง ๆ  ทำให้พ่อแม่ไม่ยินยอมที่จะให้ลูกมาแสดงหมอลำ เพราะในปัจจุบันนี้ผู้หญิงมีทางเลือกในการทำงานมากมาย เช่น กาเรียนหนังสือในโรงเรียน (ในระบบ) ทำงานบริษัท ทำงานห้าง ทำงานโรงงาน เป็นต้น ส่วนผู้ชายนั้นมีจำนวนการมาเรียนที่ศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไล เพิ่มขึ้นอย่างมากสาเหตุอาจจะเป็นเพราะผู้ชายสะดวกต่อการมาเรียน ครอบครัวไม่เป็นห่วงมากในการมาเรียน สะดวกต่อการออกงานไปแสดง รวมไปถึงมีใจรักที่อยากจะเรียนหมอลำและอยากเป็นศิลปินในอนาคต
                2.3  ความเหมาะสมและประโยชน์ที่ได้จากศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของ
แม่ครูราตรี ศรีวิไล
ตารางที่ 14   แสดงความเหมาะสมและประโยชน์ที่ได้จากศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของ
                     แม่ครูราตรี ศรีวิไล

สถานภาพ
ความเหมาะสมและประโยชน์
1.
ครอบครัว
แม่ครู
ราตรี ศรีวิไล
1. เหมาะสมเพราะเป็นสถานที่อนุรักษ์ภูมิปัญญาหมอลำของบรรพบุรุษที่มีมาแต่โบราณ   รวมทั้งให้คนรุ่นใหม่และลูกหลานได้สืบทอดประเพณีตลอดไป
2. มีประโยชน์เพราะเป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านวัฒนธรรมหมอลำอีสานที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษช่วยส่งเสริมนักเรียน นักศึกษาที่อยากเรียนรู้เรื่องหมอลำ ได้เข้ามาศึกษาอย่างจริงจัง
2.
คณะกรรม
การศูนย์การเรียนฯ
1. เหมาะสมเพราะหมอลำราตรี ศรีวิไลนั้น มีความรู้พื้นฐานมาจากบรรพบุรุษที่เป็นหมอลำมาก่อนรวมไปถึงเป็นผู้มีภูมิปัญญาดั่งเดิมอยู่แล้ว จึงสามารถทำการสอนและถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้ดี และยังทำการศึกษาพัฒนาความรู้ของตนเองอยู่เสมอโดยการไปศึกษาต่อในระดับ ปริญญาโท และปริญญาเอก
2. มีประโยชน์ เพราะได้สืบสานศิลปะหมอลำต่อจากบรรพบุรุษ เมื่อผู้เรียนมาเรียนรู้ในศูนย์ฯ แล้วสามารถนำไปใช้ได้จริงได้รับการยกย่องจากสังคม จึงทำให้มีผู้สนใจเข้ามาเรียนแล้วนำไปเผยแพร่ รวมไปถึงศูนย์ ฯ ได้มีประโยชน์ต่อหน่วยงานราชการเช่น ศาลากลางจังหวัดขอนแก่นใช้หมอลำที่ศูนย์ ฯเป็นสื่อทางด้านรณรงค์เรื่องต่าง ๆ ช่วยให้ดึงดูดผู้คนเข้ามาดูการ


ตารางที่ 14 (ต่อ)

สถานภาพ
ความเหมาะสมและประโยชน์


แสดงมากเพราะแม่ครูราตรี ศรีวิไล เป็นต้นฉบับหมอลำกลอนประยุกต์และมีชื่อเสียงทำให้สื่อข้อมูลที่หมอลำเผยแพร่ออกไปเกิดประโยชน์มากที่สุดต่อสังคม
3.
ลูกศิษย์
1. เหมาะสม ทั้งการเผยแพร่ การเรียนการสอน และการแสดงหมอลำได้นำไปเผยแพร่ ช่วยส่งเสริมศิลปะหมอลำส่งเสริมให้ผู้ที่สนใจอยากเรียนหมอลำได้เข้ามาเรียนอย่างแท้จริง
2. มีประโยชน์ ในด้านการสอนลูกศิษย์ได้มีอาชีพ มีงานทำ มีรายได้ และได้สืบสานวัฒนธรรมหมอลำสืบต่อไป
4.
บุคคลอื่น ๆ
1. เหมาะสมเพราะศูนย์ฯสร้างลูกศิษย์ให้มีอาชีพและเปิดกว้างให้กับผู้ที่สนใจเข้ามาเรียนหมอลำ อยากเป็นศิลปินได้ทุกเวลา เช่น เรียนประจำ เรียนทางไปรษณีย์ และเรียนภาคฤดูร้อน
เป็นต้น
2. มีประโยชน์ได้นำความรู้ไปใช้ในงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษา พร้อมทั้งได้นำความรู้ที่เรียนจากศูนย์ ฯ ไปใช้ในการแสดงในงานต่าง ๆ รวมไปถึงได้เป็นแนวทางในการส่งเสริมหมอลำ อนุรักษ์หมอลำ และฟื้นฟูหมอลำด้วย

                     2.3  ทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของ
แม่ครูราตรี ศรีวิไลในอนาคต
ตารางที่ 15    แสดงทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของ
                      แม่ครูราตรี ศรีวิไลในอนาคต

สถานภาพ
ทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับศูนย์ ฯ
1.
ครอบครัวแม่ครูราตรี ศรีวิไล
1.พยายามหาแนวทางประนีประนอมกล่าวคือทั้งยึดมั่นในสาระสำคัญในการอนุรักษ์
ภูมิปัญญาไทย (หมอลำ) ของศูนย์ ฯ แต่ขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนตามกระแสเปลี่ยนแปลง และความต้องการของสังคม
2.
คณะกรรมการศูนย์การเรียนฯ
1.พยายามหาแนวทางประนีประนอมกล่าวคือทั้งยึดมั่นในสาระสำคัญในการอนุรักษ์
ภูมิปัญญาไทย (หมอลำ) ของศูนย์ ฯ แต่ขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนตามกระแสเปลี่ยนแปลง และความต้องการของสังคม
3.
ลูกศิษย์
1.ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการทำงานของศูนย์ ฯ ตามกระแสการเปลี่ยนแปลง และความต้องการของสังคม
4.
บุคคลอื่น ๆ
1.ยืนหยัดแนวทางตามที่ศูนย์ ฯ ได้ปฏิบัติมาแล้วอย่างเคร่งครัดในการอนุรักษ์
ภูมิปัญญา (หมอลำ)
                2.4   ผลกระทบของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลในแต่ละด้าน
ตารางที่ 16  แสดงผลกระทบของศูนย์การเรียนภูมิปัญญาไทยของแม่ครูราตรี ศรีวิไลในแต่ละด้าน

สถานภาพ
ผลกระทบของศูนย์ ฯ
1.
ครอบครัวแม่ครูราตรี
ศรีวิไล
1.ยืนหยัดอยู่ได้เพราะ ถ้าหากคนไทยทุกคนร่วมกันอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทย (หมอลำ) แล้ว ก็จะยั่งยืน และหน่วยงานทางราชการต้องเข้ามามีส่วนร่วมช่วยส่งเสริม จัดทำหลักสูตรที่สามารถนำเข้าไปใช้ในการเรียนการสอนในโรงเรียนได้
2.มีความมุ่งมั่นมากเพราะอยากให้ลูกหลานที่เป็นนักเรียน นักศึกษาที่มาเรียนหมอลำ ได้เห็นคุณค่าของหมอลำที่บรรพบุรุษได้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
3.แนวทางในการปรับปรุงศูนย์ ฯโดยให้หน่วยงานราชากรส่งเสริมให้ความสำคัญแก่ศูนย์ ฯ โดยการออกเยี่ยมการดำเนินการของศูนย์ ฯ คอยให้คำปรึกษา จัดอบรมให้แก่ศูนย์ ฯ เพื่อที่ศูนย์ ฯจะได้มีข้อเสนอแนะที่จะนำปรับปรุงศูนย์ ฯต่อไป
2.
คณะกรรมการศูนย์การเรียน
1.ยืนหยัดอยู่ได้เพราะหมอลำเป็นพื้นฐานจาก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จึงยากที่จะสูญหาย แต่อาจจะมีบางช่วงที่หมอลำได้ซบเซาลงบ้างอาจเป็นเพราะมีสื่อใหม่ ๆ เกิดขึ้นแล้วเข้ามาแทรกหมอลำ เช่น ตลก ลำกลอนประยุกต์ ทำให้คนนิยมหมอลำกลอนน้อยลงแต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้หมอลำกำลังฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง
2.มีความมุ่งมั่นมาก โดยการทำการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์หมอลำ นำหมอลำมาประยุกต์เปลี่ยนแปลงพัฒนาจัดเผยแพร่ทำเป็นนิทรรศการในกิจกรรมต่าง ๆ เข้าไปส่งเสริมสนับสนุนศิลปะพื้นบ้านหมอลำ ช่วยเชิญให้หมอลำไปแสดงตามงานต่าง ๆโดยไม่ให้อยู่นิ่งเฉย ให้หมอลำได้ใช้ภูมิปัญญาที่สะสมไว้ให้เกิดประโยชน์ และรวมไปถึงการผลักดันให้มีการเรียนการสอนหมอลำในโรงเรียน และในมหาวิทยาลัย
3.แนวทางปรับปรุงศูนย์ ฯโดยการ จัดทำหลักสูตรหมอลำให้มีมาตรฐานและชัดเจน นำเข้ามาสู่ขั้นตอนของกระบวนการศึกษา จัดพิมพ์เอกสารหมอลำให้ผู้สนใจมาสืบต่อ เก็บรวบรวมข้อมูลหมอลำไว้ให้มากที่สุดเพื่อเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อ ฟื้นฟูหมอลำขึ้นมาให้มากที่สุดโดยแนะนำผลักดันให้คนเข้ามาศึกษาและนำไปเผยแพร่ต่อไป ทำการประยุกต์หมอลำแบบเก่าให้เข้ากับสมัยใหม่มากที่สุด ทำการนำเสนอหมอลำในทางวิชาการเช่น การแสดง การเสวนา และการประชุมวิชาการในด้านหมอลำ ทำการประชาสัมพันธ์หมอลำให้มากที่สุด อบรมบ่มเพาะให้ลูกศิษย์ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง และหน่วยงานของรัฐบาลควรช่วยส่งเสริมงบประมาณโดยการเข้ามาสนับสนุนในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนการสอนหมอลำด้วย



ตารางที่ 16 (ต่อ)   

สถานภาพ
ผลกระทบของศูนย์ ฯ
3.
ลูกศิษย์
1.ยืนหยัดอยู่ได้แต่ต้องปรับเปลี่ยนประยุกต์พัฒนาไปตามเหตุการณ์ของสังคม แต่ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านอีสานไว้  รวมทั้งศูนย์ ฯ ของแม่ครูราตรี ศรีวิไลพร้อมที่จะเปิดสอนหมอลำอย่างเป็นระบบ และหน่วยงานทางราชการยังสนับสนุนหมอลำนำไปเผยแพร่อยู่ หมอลำจึงยังคงอยู่รอดได้ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต
2.มีความมุ่งมั่นมากเพราะตามแนวทางที่ศูนย์ ฯ ได้ดำเนินการมามีแต่การสร้างลูกศิษย์ให้มีความรู้ทางด้านการเป็นศิลปิน หมอลำ หมอแคน และคอยช่วยสนับสนุนให้ลูกศิษย์ให้มีการศึกษาจนจบสายสามัญ ม.6 กันเกือบทุกคน
3.แนวทางในการปรับปรุงศูนย์ ฯ นั้นช่วยสนับสนุนในด้านการมาเป็นครูผู้ช่วยสอนในศูนย์ ฯ หลังจากที่ได้เรียนหมอลำ หมอแคน สำเร็จแล้วรวมไปถึงอยากให้รัฐบาลส่งเงินสนับสนุนทุนทางด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรวมไปถึงสื่อการสอนด้วย
4.
บุคคลอื่น ๆ
1.ยืนหยัดอยู่ได้เพราะแม่ครูราตรี ศรีวิไลได้ปรับเปลี่ยนวิธีการเรียน การสอนอยู่เสมอตลอดเวลาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและถ้าหากทุกคนเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของหมอลำได้ตามยุคตามสมัยสังคมไทยที่เปลี่ยนไปโดยการไม่ยึดติดกับสิ่งเก่า ๆ มากจนเกินไป แต่ยังคงความเป็นวัฒนธรรมอยู่ไม่ได้ทิ้งแต่ต้องปรับเปลี่ยน
2.มีความมุ่งมั่นมากถึงขั้นศึกษาหาความรู้เรื่องหมอลำอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่หยุดยั้งเพราะสังคมเปลี่ยนจึงต้องหาทางฟื้นฟู และเยียวยาหมอลำต่อไป
3.แนวทางในการปรับปรุงศูนย์ ฯ ได้แก่ องค์กรต่าง ๆ ควรเข้ามาสนับสนุนศูนย์ ฯ ให้มากที่สุด สำนักวัฒนธรรมควรส่งเสริมหมอลำให้มากขึ้น เพื่อศูนย์ ฯ จะได้ดำรงอยู่ได้ จัดทำหลักสูตรให้มีมาตรฐาน จัดทำการวัดผลประเมินผลการสอน และให้ใบประกาศต่อผู้ที่เข้ามาอบรมในศูนย์ ฯ

                จากผลการวิเคราะห์การหาแนวทางอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ) สามารถนำมาสรุปได้ 8 ประเด็นดังต่อไปนี้
                1. ควรทำการจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์หมอลำ เพื่อนำหมอลำมาประยุกต์เปลี่ยนแปลงพัฒนาจัดเผยแพร่ทำเป็นนิทรรศการในกิจกรรมต่าง ๆ
                2. รัฐบาลควรเข้าไปส่งเสริมสนับสนุนศิลปะพื้นบ้าน (หมอลำ) รวมไปถึงเชิญให้หมอลำไปแสดงตามงานหรือทำกิจกรรมต่าง ๆโดยไม่ให้หมอลำอยู่นิ่งเฉย
                3. ควรส่งเสริมให้คนที่เป็นหมอลำได้ใช้ภูมิปัญญาที่สะสมไว้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และรวมไปถึงการผลักดันให้มีการเรียนการสอนหมอลำในโรงเรียน และในมหาวิทยาลัยเพื่อฟื้นฟูหมอลำขึ้นมาให้มากที่สุดโดยแนะนำผลักดันให้คนเข้ามาศึกษาและนำไปเผยแพร่ต่อไป
                4. ทำการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลหมอลำไว้ให้มากที่สุดเพื่อเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป
                5. จัดทำหลักสูตรหมอลำให้มีมาตรฐานและชัดเจนมากที่สุดแล้วนำเข้าสู่ขั้นตอนของกระบวนการศึกษาอย่างจริงจัง และจัดพิมพ์เอกสารหมอลำให้ผู้สนใจมาศึกษาต่ออย่างต่อเนื่อง
                6. ทำการประยุกต์หมอลำแบบเก่าให้เข้ากับสมัยใหม่มากที่สุด พร้อมทั้งนำเสนอหมอลำในทางวิชาการด้วย เช่น การแสดง การเสวนา และการประชุมวิชาการ และหมอลำนั้นควรมีการประชาสัมพันธ์จุดเด่นของตนให้มากที่สุด
                7. คอยอบรมบ่มเพาะให้ลูกศิษย์ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
                8. หน่วยงานของรัฐบาลควรช่วยส่งเสริมงบประมาณโดยการเข้ามาสนับสนุนในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนการสอนหมอลำด้วย