วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ)


              1.  ทฤษฏีของภูมิปัญญาไทย
                    1.1  ความหมายภูมิปัญญาไทย
                ความเป็นมาการยกย่องเชิดชูเกียรติครูภูมิปัญญาไทยของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรี  ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้ให้ความสำคัญในเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยกำหนดเรื่องดังกล่าวไว้ในมาตรา 46 มาตรา 69 มาตรา 81 และมาตรา 289 นอกจากนี้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 ได้กำหนดให้กระบวนการเรียนรู้ต้องส่งเสริม ศิลปะ วัฒนธรรม การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และการบูรณาการในเรื่องศิลปะ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาและยังกำหนดให้มีการนำประสบการณ์ ความรอบรู้ ความชำนาญ และภูมิปัญญาท้องถิ่นของบุคคลดังกล่าวมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการศึกษา และยกย่อง เชิดชู ผู้ที่ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาไว้ด้วย  
                เพื่อให้มีการนำองค์ความรู้เรื่องภูมิปัญญาไทยเข้าสู่ระบบการศึกษาทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย รวมทั้งเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติครูภูมิปัญญาไทย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมกิจกรรมเรียนรู้ครูภูมิปัญญาไทยเพื่อดำเนินการสรรหาบุคคลผู้ทรงภูมิปัญญายกย่อง เชิดชูเกียรติเป็นครูภูมิปัญญาไทยขึ้นตั้งแต่ปี พ.. 2542 เป็นต้นมา  พร้อมกันนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนในเรื่องการส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติจึงได้จัดทำนโยบายส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษานำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นขอบเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2542 (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,  2545)
                เปลื้อง ณ นคร (2543) ได้ให้ความหมายของ “ภูมปัญญา” หมายถึง พื้นความรู้ความสามารถ และ ไทยหมายถึง ชื่อประเทศและชนชาติของเรา  ความหมายตามพจนานุกรมจึงหมายความดังนี้ ภูมิปัญญาไทยหมายถึง พื้นความรู้ความสามารถของคนไทย
                (ชัยวัฒน์ ขำหินตั้ง.  2547 ;  อ้างอิงใน  เสรี พงษ์พิศ.  2545) ได้ให้ความหมายของ
ภูมิปัญญาไทยหมายถึง พื้นเพ รากฐานความรู้ของชาวบ้าน ทั้งในลักษณะที่เป็นนามธรรม คือ ปรัชญาในการดำเนินชีวิต เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ การคิด แก่ เจ็บ ตาย คุณค่าและความหมายของทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน และในลักษณะเป็นรูปธรรม เกี่ยวกับ การทำมาหากิน การเกษตรกรรม หัตถกรรม ศิลปะ ดนตรี และอื่น ๆ
                ชัยวัฒน์ ขำหินตั้ง (2547) ได้ให้ความหมาย ภูมิปัญญาไทย ไว้ว่า ความสามารถ องค์ความรู้ และประสบการณ์ของคนไทยที่ได้สั่งสมสืบทอดกันมา เอื้ออำนวยให้แก้ปัญหาได้ และใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่นและเหมาะสมกับกาลสมัย
                พระมหาปฐวีศักดิ์ ร่มโพธิ์ธารทอง (2551) ได้ให้ความหมาย ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ความสามารถในการดำเนินชีวิตอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ โดยใช้สติปัญญาสั่งสมความรู้ตนอย่างหลากหลาย ผสมผสานความกลมกลืนระหว่างศาสนา สภาพภูมิอากาศ สภาพแวดล้อมการประกอบอาชีพ และกระบวนการเหล่านี้มาจนหลายชั่วคน ซึ่งจะเป็นได้ว่าวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้น เกิดจากการเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์เป็นระยะเวลาอันยาวนาน โดยอาศัยภูมิปัญญาที่มีอยู่มาใช้ในการตั้งถิ่นฐาน การประกอบอาชีพการปรับตัวและแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต จนเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของธรรมชาติและสังคมที่อยู่
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2544) ได้ให้ความหมาย  ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถและทักษะของคนไทยอันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ที่ผ่านมากระบวนการเรียนรู้ เลือกสรร ปรุงแต่ง พัฒนา และถ่ายทอด สืบต่อกันมาเพื่อให้แก้ปัญหา และพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยให้สมดลกับสภาพแวดล้อมและเหมาะสมกับยุคสมัย
                เอกวิทย์ ณ ถลาง (2544) ได้ให้ความหมายของ ภูมิปัญญาไทยหมายถึง ผลกระทบของประสบการณ์สั่งสมของคนที่เรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ปฏิสัมพันธ์ในชนกลุ่มเดียวกันและระหว่างกลุ่มชนหลาย ๆ ชาติพันธุ์ รวมไปถึงโลกทัศน์ที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติเอื้ออำนวยให้คนไทยแก้ปัญหาได้ ดำรงอยู่และสร้างสรรค์อารยธรรมได้อย่างมีดุลยภาพกับสิ่งแวดล้อม
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ภูมิปัญญาไทยหมายถึง ภูมิรู้ของชาวบ้านหรือชาติพันธุ์ของอารยะธรรมนั้น ๆ ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ที่เก็บสะสมเอาวัฒนธรรม ประเพณี จากคนรุ่นหนึ่ง มาสู่อีกรุ่นหนึ่ง เกี่ยวกับวิถีชีวิตบริบทของแต่ละพื้นที่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม การทำมาหากินศิลปะ และสิ่งอื่น ๆ เป็นต้น
                    1.2  องค์ประกอบของภูมิปัญญาไทย
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา  (2551) หลักการเกิดภูมิปัญญาไทยและขอบข่ายของภูมิปัญญาไทย คือ กระบวนการเกิดภูมิปัญญาไทย เป็นการเกิดจากบุคคลที่มีลักษณะใฝ่รู้ รักดี ทำดี และช่วยแก้ปัญหา ซึ่งบุคคลดังกล่าวนี้มีความสามารถในการได้มาของ องค์ความรู้ในภูมิปัญญานั้น ได้จาก 1) คิดรังสรรค์ได้เอง 2) สืบทอดจากบรรพบุรุษ ของครอบครัว 3) เรียนรู้จากผู้รู้ 4) เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ 5) เรียนรู้จากศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และการละเล่น 6) เรียนรู้จากนับถือเชื่อ และ 7) เรียนรู้จากสื่อต่างๆ เหล่านี้ทำให้ได้องค์ความรู้ที่นำไปสู่การพัฒนา เลือกสรรและปรับปรุง โดยองค์ความรู้ที่ได้นี้จะนำไปใช้ปฏิบัติซึ่งส่งผลให้ ได้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ คือ 1) มีความรู้ 2) มีทักษะ 3) มีเทคนิค 4) มีแหล่งการเรียนรู้ และ 5) มีเครือข่าย ทั้งนี้ความเชี่ยวชาญเฉพาะที่มีจะเป็นไป ตามขอบข่ายตามนโยบายส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษา ซึ่งได้รับความเห็นชอบ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2542
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2552) ได้กำหนดขอบข่าย ภูมิปัญญาไทยไว้ 9 ด้าน ดังนี้
                1.  ด้านเกษตรกรรม ได้แก่ ความสามารถในการผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะและเทคนิคด้านการเกษตรกับเทคโนโลยี โดยการพัฒนาบนพื้นฐานคุณค่า ดั้งเดิม ซึ่งคนสามารถพึ่งพาตนเองในสภาวการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่น การทำการเกษตร แบบผสมผสาน การแก้ปัญหาการเกษตรด้านการตลาด การแก้ปัญหาด้าน การผลิต และการรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการเกษตร เป็นต้น
                2.  ด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม ได้แก่ การรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สมัยใหม่ในการแปรรูป ผลิตเพื่อการบริโภคอย่างปลอดภัย ประหยัด และเป็นธรรม อันเป็นกระบวนการให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจได้ ตลอดทั้ง การผลิตและการจำหน่ายผลผลิตทางหัตถกรรม เช่น การรวมกลุ่มของกลุ่ม โรงงานยางพารา กลุ่มโรงสี กลุ่มหัตถกรรม เป็นต้น
                3.  ด้านการแพทย์แผนไทย ได้แก่ ความสามารถในการจัดการป้องกัน และรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทาง ด้านสุขภาพและอนามัยได้ เช่น ยาจากสมุนไพรอันมีอยู่หลากหลาย การนวดแผนโบราณ การดูแลและรักษาสุขภาพแบบพื้นบ้าน เป็นต้น
                4.  ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ความสามารถ เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งการอนุรักษ์ การพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและ ยั่งยืน เช่น การบวชป่า การสืบชะตาแม่น้ำ การทำแนวปะการังเทียม การอนุรักษ์ป่าชายเลน การจัดการป่าต้นน้ำและป่าชุมชน เป็นต้น
                5.  ด้านกองทุนและธุรกิจชุมชน ได้แก่ ความสามารถในด้านการสะสม และบริหารกองทุนและสวัสดิการชุมชน ทั้งที่เป็นเงินตราและโภคทรัพย์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในกลุ่ม เช่น การจัดการกองทุนของชุมชนในรูปของสหกรณ์ออมทรัพย์ รวมถึง ความสามารถในการจัดสวัสดิการในการประกันคุณภาพชีวิตของคนให้เกิด คู่มือการสรรหาและคัดเลือกครูภูมิปัญญาไทยความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการ รักษาพยาบาลของชุมชน และการจัดระบบสวัสดิการบริการชุม
                6.  ด้านศิลปกรรม ได้แก่ ความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานทางด้าน ศิลปะสาขาต่าง ๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม นาฏศิลป์ ดนตรี ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ การละเล่นพื้นบ้าน และนันทนาการ เป็นต้น
                7.  ด้านภาษาและวรรณกรรม ได้แก่ ความสามารถในการอนุรักษ์ และสร้างสรรค์ผลงานด้านภาษา คือ ภาษาถิ่น ภาษาไทยในภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึง ด้านวรรณกรรมท้องถิ่นและการจัดทำสารานุกรมภาษาถิ่น การปริวรรตหนังสือ โบราณ การฟื้นฟูการเรียนการสอนภาษาถิ่นของท้องถิ่นต่าง ๆ
                8.  ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี ได้แก่ ความสามารถประยุกต์ และปรับใช้หลักธรรมคำสอนทางศาสนา ปรัชญาความเชื่อและประเพณีที่มีคุณค่าให้เหมาะสมต่อบริบททางเศรษฐกิจ สังคม เช่น การถ่ายทอดวรรณกรรม คำสอน การบวชป่า การประยุกต์ประเพณีบุญประทายข้าว เป็นต้น
                9.  ด้านโภชนาการ ได้แก่ ความสามารถในการเลือกสรร ประดิษฐ์ ปรุงแต่งอาหาร และยาได้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายในสภาวการณ์ ต่าง ๆ ตลอดจนผลิตเป็นสินค้าและบริการส่งออกที่ได้รับความนิยมแพร่หลายมาก รวมถึงการขยายคุณค่าเพิ่มของทรัพยากรด้วย
   จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า องค์ประกอบของภูมิปัญญาไทยนั้นเกิดจากตัวของบุคคลที่มีความสนใจใฝ่เรียนรู้ จึงเกิดผลงานที่ออกมาในรูปแบบที่สามารถ่ายทอดสืบทอดให้บุคคลอื่นได้ จนสามารถกำหนดขอบเขตของแต่ละภูมิปัญญาไทยได้
                    1
.3  ประเภทของภูมิปัญญาไทย
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2551) ได้อธิบายถึงประเภทของภูมิปัญญาไทยไว้ 3 ประเภทดังนี้
                      1.  ภูมิปัญญาพื้นบ้าน คือ องค์ความรู้ ความชำนาญและประสบการณ์ ที่สั่งสมและสืบทอดกันมา เพื่อใช้แก้ปัญหาในการปรับตัวโดยมีการเรียนรู้ และสืบทอดต่อกันมาจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ของคนในพื้นบ้านนั้น ๆ หรือเป็นวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวบ้าน ในพื้นที่
                       2.  ภูมิปัญญาชาวบ้าน คือ ความรู้ ทักษะ และวิธีการปฏิบัติของชาวบ้าน ที่ได้มาจากประสบการณ์แต่ละเรื่องและแต่ละสภาพแวดล้อม โดยมีเงื่อนไขของปัจจัยเฉพาะแตกต่างกันไปสำหรับการนำมาใช้แก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ต้องอาศัยศักยภาพที่มีอยู่โดยชาวบ้านคิดเอง เป็นความรู้ที่สร้างสรรค์และมีส่วนเสริมสร้าง การผลิต รวมทั้งเป็นความรู้ของชาวบ้านที่สั่งสมมาส่งผลให้มีโครงสร้างความรู้ ที่มีหลักการ มีเหตุและมีผลในตัวเอง จนกระทั่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกทาง วัฒนธรรม และเป็นความรู้ที่ปฏิบัติได้มีพลังและสำคัญยิ่งเหล่านี้ช่วยให้ชาวบ้านมีชีวิตอยู่รอด สร้างสรรค์การผลิตและช่วยในด้านการทำงาน
                       3.  ภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ความรู้ที่มีอยู่ทั่วไป ๆ ในสังคม ชุมชนและ ในตัวผู้รู้เอง เป็นความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิตของคนนั้น ๆ ที่เรียนรู้ ผ่านกระบวนการศึกษา สังเกต คิดวิเคราะห์และลงมือปฏิบัติจนเกิดปัญญาในแต่ละท้องถิ่นนั้น ๆ จนกระทั่งสิ่งที่เรียนรู้มาจากหลาย ๆ เรื่องได้ถูกประกอบกันขึ้น แล้วตกผลึกเป็นองค์ความรู้ ซึ่งจัดว่าเป็นพื้นฐานขององค์ความรู้สมัยใหม่ที่ช่วย ในการเรียนรู้เพื่อการแก้ปัญหา ช่วยการจัดการและปรับตัวในการดำเนินชีวิตของคนเรา จึงควรมีการสืบค้น รวบรวม ศึกษา ถ่ายทอด พัฒนาและนำไป ใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ประเภทของภูมิปัญญาไทยมีหลายรูปแบบที่เกิดจากการถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง คือ ภูมิปัญญาพื้นบ้าน ซึ่งได้จากการเรียนรู้วิถีชีวิต ส่วนภูมิปัญญาชาวบ้านได้จากสภาพแวดล้อม และภูมิปัญญาท้องถิ่นได้จาก การศึกษาแหล่งเรียนรู้ชุมชนจนกลายเป็นผู้ชำนาญ หรือผู้รู้
                    1.4  ลักษณะของภูมิปัญญาไทย
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2551) ได้อธิบายถึง ลักษณะของภูมิปัญญาไทยไว้ดังนี้
                      1.  เป็นเรื่องของการใช้ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) ความเชื่อ (Belief) และพฤติกรรม (Behavior)
                      2.  แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง คนกับคน คนกับธรรมชาติ คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
                      3.  เป็นองค์รวมหรือกิจกรรมทุกอย่างในวิถีชีวิต
                      4.  เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหา การจัดการ การปรับตัว การเรียนรู้ เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน และสังคม
                      5.  เป็นแกนหลักหรือกระบวนทัศน์ในการมองชีวิต เป็นพื้นความรู้ในเรื่องต่าง ๆ
                      6.  มีลักษณะเฉพาะหรือมีเอกลักษณ์ในตัวเอง
                      7.  มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคม ตลอดเวลา
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ลักษณะของภูมิปัญญาไทยเป็นสิ่งกำหนดทิศทางของกระบวนการของภูมิปัญญาไทยให้เกิดระบบขึ้น และอยู่บนพื้นฐานของกฎระเบียบที่เป็นมาตรฐานในการศึกษาเรียนรู้
                    1.5  ความสำคัญของภูมิปัญญาไทยในการแก้ปัญหาสังคม
                สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ( 2545) ได้กล่าวว่า ในขณะที่วิกฤตเศรษฐกิจของประเทศได้ส่งผลให้ชาวไทยบางกลุ่มต้องประสบกับภาวะล้มละลาย เกิดความเสื่อมถอยทางด้านคุณธรรมจริยธรรมและกระทบต่อโครงสร้างโดยรวมของสังคม ก็ยังมีประชาชนชาวไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้ ตรงกันข้ามเขาเหล่านี้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ และดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข กล่าวได้ว่าบุคคลกลุ่มนี้ได้ใช้ ภูมิปัญญาไทยที่คนไทยได้คิดค้น เรียนรู้ สั่งสม กลั่นกลองและทดลองใช้จนตกผลึกสามารถนำความรู้นั้นมาแก้ไขปัญหาของตนเองและสังคม ภูมิปัญญานี้เองได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมา จนมีบทบาทสำคัญแก่การพัฒนาประเทศในทุกมิติ ดังนั้นจึงมีความ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสืบสานภูมิปัญญาไทยนี้ไว้ให้คงอยู่สืบไป การดำเนินงานสู่เป้าหมายในอนาคต ควรดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่
                      1.  การส่งเสริมผู้นำท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน และบุคลากรในท้องถิ่นให้มีโอกาสได้พัฒนาภูมิปัญญาและสร้างสรรค์ความรู้ใหม่
                      2.  ดำเนินการให้เกิดสถาบันการเรียนรู้ของชุมชน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ทรงภูมิปัญญาสามารถถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์แก่ผู้เรียนทั้งในชุมชนของตนเองและชุมชนอื่น ซึ่งสถาบันการเรียนรู้ของชุมชนนี้อาจมีชื่อเรียกในรูปแบบที่แตกต่างกัน อาทิ มหาวิทยาลัยชาวบ้าน มหาวิทยาลัยธรรมชาติ ศูนย์การเรียนรู้ เครือข่าย ศูนย์ และกลุ่ม
                      3.  ศึกษาและจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศของชุมชน
                      4.  ดำเนินการให้ภูมิปัญญาไทยเป็นที่ยอมรับเท่าเทียมภูมิปัญญาสากล
                      5.  ให้ชุมชนมีบทบาทเป็นรากฐานของการเรียนรู้และการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งทางด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
                สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้เล็งเห็น ความสำคัญของภูมิปัญญาและการสืบสานภูมิปัญญาไทย จึงได้จัดทำนโยบายส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษาขึ้นโดยได้ผ่านความเห็นชอบจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2542 ในนโยบายดังกล่าวได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า  ภูมิปัญญาไทยจะได้รับการฟื้นฟูและนำมาปรับใช้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลง โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการศึกษาสำหรับคนทั้งชาติ และเป็นไปเพื่อเน้นคุณค่าทางจิตพิสัยนำไปสู่ดุลยภาพอย่างยั่งยืนจนเกิดเป็นพลังขับเคลื่อนสู่การแก้ไขปัญหา และการพัฒนาตนเองและสังคมตามแนวทางที่เหมาะสมแก่ประเทศไทยในนโยบายการส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษานั้นมีอยู่ 4 ข้อกล่าวคือ
                1.  นำภูมิปัญญาเข้าสู่การศึกษาของชาติ โดยเลือกสรรสาระและกระบวนการเรียนรู้เข้าสู่ระบบการศึกษา ทั้งการศึกษาในโรงเรียน การศึกษานอกโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย    2.  ยกย่องและเชิดชูเกียรติ ครูภูมิปัญญาและสนับสนุนให้มีบทบาทเสริมในการถ่ายทอดภูมิปัญญาในการจัดการศึกษาทุกระดับและทุกระบบ รวมทั้งให้แบบอย่างและชี้นำ ด้านวิถีคิด วิธีการเรียนรู้ และการดำเนินชีวิตที่ได้ผ่านการทดสอบมามาก
                3.  สนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านภูมิปัญญา เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาที่หลากหลายให้สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและท้องถิ่น
                4.  ประมวลคลังข้อมูลเกี่ยวกับสารัตถะ องค์กร และเครือข่ายภูมิปัญญา ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ภูมิปัญญาไทยนั้นมีส่วนที่ช่วยแก้ไขปัญหาของสังคมในปัจจุบันอย่างมากเพราะมีการนำภูมิปัญญาที่มีอยู่เอาเข้ามาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวัน ลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมาก เกิดการประหยัด เช่นการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน และมีการส่งเสริมให้กำลังใจแก่ผู้รู้ หรือผู้สืบทอดภูมิปัญญาให้มีแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยต่อไป
                2.  ครูภูมิปัญญาไทย
                    2.1  ความหมายของครูภูมิปัญญาไทย
                สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2551) ได้ให้ความหมายของ ครูภูมิปัญญาไทยหมายถึง บุคคลผู้ทรงภูมิปัญญาด้านหนึ่งด้านใด เป็นผู้สร้างสรรค์และสืบสานภูมิปัญญาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่ยอมรับ ในสังคมและชุมชน เพื่อทำหน้าที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาในการจัดการศึกษา ทั้งในระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัย ตามนัย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ..2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ..2545
                สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2545) ได้ให้ความหมายของ ครูภูมิปัญญาไทยหมายถึง บุคคลสำคัญในการถ่ายทอดความรู้ เป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถในการใช้ภูมิปัญญาในด้านที่ตนได้ศึกษาค้นคว้า ค้นพบ ทดลองจนประสบความสำเร็จ แล้วนำไปเผยแพร่จนเป็นประโยชน์โดยรวมแก่สังคม กระบวนการถ่ายทอดจึงเป็นกระบวนการเรียนรู้จากชีวิตจริง  เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการซึมซับสามารถนำวิชาความรู้ที่ได้รับไปแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ครูภูมิปัญญาไทย หมายถึง ผู้ที่มีภูมิปัญญาสร้างสรรค์ผลงาน สืบทอดองค์ความรู้ที่มีอยู่จาการศึกษาค้นคว้าของตนเอง และนำไปเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับกันในชุมชน และสามารถประยุกต์ปรับเปลี่ยนแก้ไขปัญหาทางสังคมได้ตลอดเวลาจากภูมิปัญญาไทยของตนเองที่ได้สั่งสมมา
                สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ  (2542) ได้อธิบายหลักการสรรหาและคัดเลือกครูภูมิปัญญาไทยไว้ดังนี้
                1.  หลักเกณฑ์ในการสรรหาครูภูมิปัญญาไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการสรรหาครูภูมิปัญญาไทยไว้ดังนี้
                     1.1  เป็นผู้ทรงภูมิปัญญาที่ได้รับการยกย่องและยอมรับจากสังคม
                     1.2  ประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีของครอบครัว ชุมชน และสังคม
                     1.3  อบรม สั่งสอน สร้างเสริมความรู้ ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามให้แก่ผู้รับ
การถ่ายทอด อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจและต่อเนื่อง
                     1.4  เป็นผู้ที่มีศักยภาพ ในการจัดการเกี่ยวกับการถ่ายทอดภูมิปัญญาในรูปแบบที่
หลากหลาย
                     1.5  สามารถนำ ความรู้และประสบการณ์ มาพัฒนาสร้างสรรค์และเผยแพร่แก่
สังคมส่วนรวมได้
                2.  ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการยกย่องเชิดชูเกียรติครูภูมิปัญญาไทยไว้ดังนี้
         2.1 ได้ครูภูมิปัญญาไทยจำนวนหนึ่งเพื่อการพัฒนาสังคมให้เป็นสังคม แห่งการเรียนรู้และสนับสนุนการขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงตามกระแส ของการพัฒนาท้องถิ่นในปัจจุบัน
                      2.2 ได้องค์ความรู้ใหม่ในการส่งเสริมและพัฒนาการขับเคลื่อนการนำ แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของครูภูมิปัญญาไทยที่ให้การเรียนรู้แก่ ประชาชนในท้องถิ่น อันนำไปสู่ความต่อเนื่องของการดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป
                      2.3 ได้ตัวอย่างรูปแบบและวิธีการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ในการ ขับเคลื่อนแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยครูภูมิปัญญาไทยที่ให้การเรียนรู้ แก่ประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งนำไปสู่ต้นแบบในการดำเนินการของผู้เกี่ยวข้องและ หน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป
                      2.4  เกิดพลังขับเคลื่อนที่เป็นประโยชน์ต่อครูภูมิปัญญาไทย ปราชญ์ ชาวบ้าน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชาชนทั่วไป สำหรับการขับเคลื่อน แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและภูมิปัญญาไทยให้ก่อเกิดประโยชน์แก่ ประเทศและเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
                3.  การยกย่องเชิดชูเกียรติครูภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษา
                เน้นยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ทรงภูมิปัญญาให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย โดยให้มีการเทียบความรู้ เทียบตำแหน่ง จัดระบบการถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยในทุกระดับและทุกระบบกำหนดภารกิจหน้าที่ การจ่ายค่าตอบแทนการปฏิบัติงานตามภารกิจหน้าที่แลกเปลี่ยน เชื่อมโยง และพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ของครูภูมิปัญญาไทยการสรรหาและคัดเลือกครูภูมิปัญญาไทย
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ภูมิปัญญาไทย มีความสำคัญในการจัดระบบการศึกษาไทยเป็นอย่างมาก เพราะเกิดจากวิถีชีวิตของชาวบ้านหรือชุมชนแต่ละชุมชนและเพื่อเป็นการอนุรักษ์ไม่ให้ภูมิปัญญาไทยสูญหายและให้ความสำคัญกับผู้รู้ จึงได้นำเอาภูมิปัญญาไทยเข้าไปจัดการให้เกิดระบบ และเกิดกระบวนการอย่างเป็นสากล
                สถาบันแห่งชาติว่าด้วยภูมิปัญญาไทยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2542)  ได้เสนอตัวอย่างบางประเทศที่ได้จัดแนวทางการคัดสรรค์ ผู้ทรงภูมิปัญญา ไว้ดังนี้
1.  ประเทศญี่ปุ่น : เป็นการคัดเลือกผู้ทรงภูมิปัญญาทั้งที่เป็นบุคคลและกลุ่มบุคคล
2.  ประเทศเกาหลี : ในปี ค..1964 ประเทศเกาหลี เริ่มวาง ระบบในการสรรหาผู้ทรงภูมิปัญญารวมทั้งการอนุรักษ์และการถ่ายทอด ในเดือน กันยายน ค..1995 รัฐได้ลงทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมเชิงจิตวิญญาณ(Important Intangible Cultural Properties) ไว้ 92 ชิ้น ลงทะเบียนผู้ทรงภูมิปัญญาประเภทบุคคลไว้จำนวน 167 คน และหน่วยงานที่ทำงาน ด้านนี้ไว้ 50 แห่ง ด้วยกัน
3.  ประเทศฟิลิปปินส์ : ในปี ค..1973 รัฐบาลได้ออกกฎหมายให้มีศิลปินแห่งชาติ” (National Artists) โดยการประกาศและยกย่องผู้ที่อนุรักษ์ประเพณีและถ่ายทอดความรู้ไปสู่ลูกหลาน ในปี ค..1994 รัฐบาลฟิลิปปินส์ประกาศยกย่องบุคคล 3 ท่าน จากชุมชนต่าง ๆ เป็นศิลปินแห่งชาติ
4.  ประเทศไทย : ประเทศไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศให้มีศิลปินแห่งชาติในปี ค..1985 และประกาศยกย่องไปแล้วหลายคน ในปี ค..1996 ประกาศยกย่องศิลปินแห่งชาติ จำนวน 10 คน
5.  ประเทศโรมาเนีย : ประเทศโรมาเนียกำลังดำเนินการยกย่องผู้ที่ทำหน้าที่พิทักษ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านและขนบธรรมเนียมประเพณีแนวทางส่งเสริมภูมิปัญญาในต่างประเทศ
6.  ประเทศฝรั่งเศส : ในปี ค..1994 กระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศให้บุคคล 20 คน เป็นผู้มีผลงานดีเด่นใน เรื่องศิลปหัตถกรรม (Master of Crafts) บุคคลเหล่านี้เป็นชาวนา ชาวไร่ผู้ซึ่งมีความสามารถทักษะและความรู้ลึกซึ้งสามารถถ่ายทอดไปสู่อนุชนรุ่นหลัง อย่างไรก็ดีทุกประเทศดังกล่าวมาแล้วข้างต้นต่างก็ได้ดำเนินการตามแนวทางของยูเนสโกที่กำหนดไว้ ในเรื่องการ
พิทักษ์รักษามรดกวัฒนธรรมและวัฒนธรรมพื้นบ้าน ในปี ค..1989” (UNESCO Recommendation on the Safeguarding of Traditional Cultures and Folklore 1989) ด้วยเหตุว่าวัฒนธรรมพื้นบ้าน” (Folklore)เป็นสมบัติล้ำค่าของมวลมนุษย์ อันแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของคนในชาติ
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ทุกประเทศให้ความสำคัญกับผู้ทรงภูมิปัญญาเป็นอย่างมากเพราะกลุ่มคนเหล่านี้เป็นผู้ที่ช่วยสร้างสรรค์อนุรักษ์ ภูมิปัญญาของตนเองไม่ให้เสื่อมหายไปจากประเทศชาติ

ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ)
               
               1. ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสานด้านศิลปกรรม (หมอลำ)
                สำเร็จ คำโมง (..) ได้กล่าวถึงความหมายของคำว่าหมอลำว่า เป็นคำผสมคำว่า หมอกับ ลำและหมอเป็นคำที่ชาวไทยลาวใช้เรียกผู้ชำนาญการหรือผู้เชียวชาญในกิจหรือวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง หมอ ในพื้นถิ่นไทยลาวมีหลายประเภท เช่น
                หมอลำ คือ ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพขับร้องขับลำ
                หมอแคน คือ ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพเป่าแคน
                หมอมอ คือ ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพทำนายโชคชะตาราศี
                หมอยา คือ ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพการปรุงยารักษาโรค
                หมอสูด คือ ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพร่ายมนต์คาถาในพิธีกรรมต่าง ๆ
                หมอเพลง คือ ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพขับร้องเพลงและประพันธ์เพลงใช้ในพื้นที่ถิ่นโคราช
ฯลฯ
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า หมอลำ คือ ผู้ที่มีความชำนาญในด้านการขับลำ (ร้องลำ) สามารถจำกลอนลำได้มากมายหลายร้อยกลอนจนถึงขั้นแตกลำหรือด้นกลอนสด (คิดกลอนขึ้นเองในขณะลำ)ได้ และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสานทั้งสิ้นที่สืบทอดมีมาตั้งแต่ ปู่ ย่า ตา ยาย จนถึงปัจจุบัน


                2. หมอลำมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
                หมอลำได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมสาขาศิลปะการแสดง ประจำปี พ.. 2552 โดยมี 3 ประเภทด้วยกันคือ หมอลำพื้น หมอลำกลอน และลำผญา (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, 2554) ผู้วิจัยขอยกตัวอย่างกลอนลำมาแค่เพียง 5 ประเภทเพื่อแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ) อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น คือ หมอลำทรง (หมอลำผีฟ้า) หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำหมู่ (ลำเรื่องต่อกลอน) และลำผญา มีรายละเอียดดังนี้
                1. หมอลำทรง หรือหมอลำผีฟ้า
                เป็นยุคที่มีหมอลำเพื่อการประกอบพิธีกรรมเพื่อรักษาโรคโดยเฉเพาะเพราะคนสมัยก่อนมีความเชื่อว่าคนที่เจ็บป่วยไม่หายนั้น อาจจะเกิดจากการกระทำของผีตาแฮก ผีเมือง ผีป่า ผีปู่ตา ผีบ้าน ดังนั้น ต้องทำพิธีขอขมาผี ถ้ายังไม่หายอีกก็แสดงว่าอาจจะเป็นการกระทำของผีฟ้าซึ่งอยู่เหนือธรรมชาติ การรักษาจึงต้องมีการเข้าทรง เพื่ออันเชิญผีฟ้ามาทำให้หายจากอาการเจ็บป่วยในครั้งนั้น
                ตัวอย่างกลอนลำผีฟ้าที่ใช้เชิญเสด็จ ผญาแถน ต่อไปนี้
                “…สาธุถ่อนขอพรอนุญาต                               ปาปอย่าได้เวรต้องอย่าให้มี
                ขอหลายให้อ้ายให้                                              เขยไฮ ให้อ้ายหย่อน
                ให้พ่อเขาทอดด้าม                                              วางให้แก่ขอ
                เชิญพ่อมาแต่หิ้งให้ยอมาแต่หอไม้แก้ว          โฮงกว้างซ่วงสำบาย
                ขอเถิงแถนตื้อเฒ่า                                               แถนลือ ซ้ำแถนหล่อ
                ขอนำแถนท่อฟ้า                                                 แถนเฒ่าพ่อพญา
                ขอนำอ้ายจำปาซาย                                             ให้ฮีบด่วน
                ซวนอ้ายมาเลาะเลียบห้อง                                 คายแพงน้องตั้งแต่ง
                มีเทิงขันห้าพร้อม                                               ขันแปดเทียมนำ
                มีเทิงซิ่น                                                                แพรวาน้องกะใส่
                ไข่หน่วยละเบื้อง                                                 ประสงค์ซื้อใส่คาย
                เงินคำได้                                                               พอประมาณสี่บาท
                น้องกะเฮ็ดให้ได้                                                 ใจอ้ายผู้ด่วนมา
                เซินเดออ้าย                                          ให้ไปเล่าเลียบไฮ่ เขาพันป๋ะ
                ให้ไปเล่าเลียบนา                                                เขาฟันปล่อย
                เลาะหว่างทุ่งอ้องม้อง                        นาน้อยเจ้าเฮ็ดกิน
                คันแม่นพี่ขัดข้อง                                                ทางใด๋บอกน้องแหน่
                คนงามเอ๋ย…”
(สำเร็จ คำโมงมปปอ้างอิงใน เอกสารหมายเลข 7 จากการสัมมนาเพลงพื้นบ้านอีสาน ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม, 2524)
                2. หมอลำพื้น
                เป็นยุคที่มีการลำให้ความบันเทิงมากขึ้น จนถือเป็นต้นกำเนิดของการลำเพื่อการบันเทิงของหมอลำแบบอื่น ๆ ในยุคหลัง ๆ เมื่อพิจารณาจากรูปแบบการแสดงทำให้เห็นว่าลำพื้นเกิดจากธรรมเนียมการอ่านหนังสือผูกและธรรมเนียมการเทศน์ของพระ  หมอลำพื้นเป็นการลำแบบเล่าเรื่องหรือนิทาน หรือคำสอนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ตัวอย่างลำพื้น ดังนี้
กลอนลำ เรื่องสังข์สินไซ (ตอนพระยากุศราชครองเมือง)
ประพันธ์โดย ราตรี ศรีวิไล
(วาทลำสินไซ-สลับลำพื้น)
(บทที่ 1)
ฮืมบัดนี้...  ข้าจักนบนอบน้อม    ถวายบาทนาโถ
องค์พุทโธธัมโม    และพระสังโฆพร้อม
กายวาจาใจน้อม   คุณครูผู้สอนสั่ง
ขอให้มาเลื่อมกั้ง   บังข้าบัดฮ่าลำ
(บทที่ 1)
ไหว้ทุกก้ำ      อ้อป่องของขลัง
คุณณะอมจังงัง     ให้เลื่อมงำนำยู้
ครูอยู่ในบทเรื่อง     โตแสดงครบคู่
ผองนักปราชญ์ผู้ฮู้    ให้ซูค้ำซ่อยกัน
(บทที่ 1)
บัดนี้บั้น    เปิดป่องฝักตูไข
ลำนิทานสินไซ    ให้ซัดเจนเห็นแจ้ง
การแสดงลำร้อง    ให้เห็นทางแจ้งจ่างป่าง พุ้นเย้อ.......
เปิดฝักตูไขป่องท้าง    ถางหม้องป่องสิลำ
(บทที่ 1)
บัดนี้จักกล่าวก้ำ   เมืองใหญ่เป็งจาล
ตามบทตอนนิทาน   กล่าวมาจาเว้า
ยังมีเหนือหัวเหง้า     ซื่อพระยากุศราช
องค์พระบาทท่อนไท้    ครองสร้างนั่งปรางค์
(บทที่ 1)
มเหสีเอกอ้าง    ซื่อว่าจันฑา
ส่วนน้องสาวพระราชา     ซื่อสุมณฑาน้อง
บ่มีแนวเคืองข้อง    หมองใจจักอย่าง
อยู่ท่างสุขอยู่สร้าง    ปรางค์กว้างข่วงนคร
(ลำพื้น)
จั่งความทุกข์ฮ้อน   บ่เอื้ออ่าวหนหา
ปวงสนมเสนา    ซื่นซมแซซ้อง
เมื่อนั้น เสียงกลองฆ้อง  มโหรีเสพแห่
เสียงลำร้อง สลับแคนแลนแตร่
แลนแตร่ตาลุแลนแลนแตร่แลนแตร่
เสียงกลองฆ้อง   ดังมามอง ๆๆๆ
มอง ๆๆๆมุ่งฮุ่ย
เสียงกลองฆ้อง   ดังมามุ่งฮุ่ย
ฟังเตาะเติ่นตุ้มกลองทุ้มกล่อมกัน   ตึ้มๆๆๆ ตึดตึ้ม ๆๆๆ
เสียงกลองฆ้อง   มโหรีเสพกล่อม
คอยถนอมต่อมตุ้ม    ซุมเซื้ออยู่เย็น
(บทที่ 1)
เว้นวรรคไว้     ถ้าฟังใหม่กลอนสอง
ยักษ์กุมภัณฑ์หมายปอง   มิ่งสุมณฑาแก้ว
สิขอลาลงแล้ว     บทกลอนโจะก่อน
คอยเบิ่งตอนบัดหน้า   ซิหนากว้างกว่าหลัง

ขอพักยั้ง    ไว้ก่อนบทตอน
กลอนนิทานสินไซ   ต่อไปยังกว้าง...
                3. หมอลำกลอน
                เป็นยุคใกล้เคียงกับหมอลำพื้น แต่ต่างกันตรงที่หมอลำมีการสร้างรูปแบบการแสดงที่เป็นมาตรฐานมากขึ้น แต่ยังเป็นการลำกลอนที่มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ คือสนใจเรื่องสาระข้อคิด คติธรรม คำสอนทางศาสนาอยู่มาก ตลอดจนการประชันความสามารถการประชันความสามารถ และประชันไหวพริบปฏิภาณ ควบคู่ไปกับการให้ความบันเทิง
                ตัวอย่างกลอนลำทางสั้น เดินดงชมดอก ของผู้ชายลำ ต่อไปนี้
                                ชื่อกลอนลำเดินดงชมดอก ชาย
                                ชื่อผู้แต่ง :             ราตรี ศรีวิไล
                                ทำนอง : ลำทางสั้น
                                (บท 1)
                                พอคราวแล้ว ๆ สิเดินดงลัดไล่
                                เลาะเลียบไพรซิได้นับดอกไม้ ๆ  ใบต้นอยู่ปน
                                (บท 2)
                                เลาะเลียบต้นชมดอกดวนดก
                                มีทั้งบกแจมจิกจีกจีแจมจี้
                                (บท 3)
                                มีทั้งจำปีพร้อมซอมดอกจำปา
                                สีดาแกมจำปีหมี่มุยแกมมี้
                                มีมันต้นซมโดนดอกหล่น
                                กะโดนแกมดอกเป้า  กะเบาซ้อน ป่งซอน ๆ
                                (บท 4)
                                ดอกกะเบามันมาเกิดซ้อน ซอนหมู่ตูมตัง
ตามนั้นแหล่ว ตามสะพังนี้ละแม่นวังหนอง ๆ แบ่งบานตามก้าน
มีบานตามต้นปนกันถันถี่
มีปิลิดอกแห้งแมลงไม้ไต่ตอม
(บท 5)
ลมพัดพร้อมไกวกิ่งแกมกัน
กกโกแกมกกกุงก่ามกวมกุมเกี้ยว
เหลียวไปหน้าสาขาหลายส่ำ
เลาะไปนำเลียบจ้ายสายห้วยป่าดอน

(บทลง)
สีนานวลแคนซ่วนไว้ก่อนท่อนี้น่า
                                                                                                                (ราตรี ศรีวิไล,  2518)
                4. หมอลำหมู่หรือหมอลำเรื่องต่อกลอน
                เป็นยุคที่หมอลำมีพัฒนาการแสดงหลากหลายมากขึ้น โดยยืดบนฐานเดิมคือการลำเป็นเรื่องแบบลำพื้นมาดัดแปลงใหม่ โดยแทนที่จะมีหมอลำคนเดียวแล้วสมมุติตัวเป็นตัวละครทุกตัว ก็ปรับเปลี่ยนให้มีหมอลำ ลำกันหลาย ๆ คนเพื่อให้ครบตัวละครในเรื่อง
                ตัวอย่างจากกลอนลำเรื่องต่อกลอน : จากเรื่องท้าวธนูขรรค์
                นางปีศาจกล่าว :
                                โอ้พี่เอย                 น้องหากลุแต่ก้ำหนแห่งหิมพานต์
เพื่อว่า              ใจประสงค์หาคู่ครองเทียมซ้อน
จั่งใด                 สัญจรดั้นมาเถิงพระพี่ภายพี้
เพราะเพื่อ    คิดอยากได้ชายซ้อนจึ่งได้มา พี่เอ๋ย
ผีหลักเมืองกล่าว:
นางหาก           มีประสงค์ด้วยหาชายซ้อนบ่อน
น้องสิ               เอาคู่ซ้อนเทียมเจ้าผู้จั่งใด๋
พี่ก็    บ่มีเมียซ้อนเทียมสองจักเทื่อ
เจ้าสิ                 บ่อยากได้ไปซ้อนกล่อมสอง แน่บ้อ
                                                                          (อุดม บัวศรี, 2546)
                5. ลำผญา
                ลำประเภทนี้ไม่มีผู้ศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ แต่หากพิจารณาตามลักษณะแล้วอาจกล่าวได้ว่าน่าจะมีความเก่าแก่ร่วมสมัยกับหมอลำพื้นและหมอลำกลอน ผญา คือ คำคม สุภาษิต หรือคำพูดที่เป็นปริศนาเป็นคำพูดที่คล้องจองกันมีจังหวะหนักเบา ผญาจึงเป็นการพูดที่ต้องใช้ไหวพริบ สติปัญญา พูดสั้นแต่กินใจความมาก
                ตัวอย่างกลอนลำผญา ประเพณีลงข่วง
ชาย     ขอขอบคุณเด้อหล่าที่หายามาให้สูบ
ปูลาดฮูปดอกฟ้าซังมาโก้แท้หนอหล่าเอย
ความหมาย พี่ขอขอบคุณน้องมากที่เตรียมบุหรี่ไว้ให้อุส่าห์ปู่เสื่อรูปดอกฟ้าแสนสวยให้พี่นั่ง
หญิง   บ่เป็นหยังดอกอ้าย เห็นชายมากระอบอุ่น
ย่านแต่เพิ่นพุ้นบ่มาผ่ายกลายทาง
อ้ายมาหยังมื้อนี้มีลมอันได๋พัด
ช่วยขจัดความในใจน้องแน่นาอ้ายเอย
ความหมาย ไม่เป็นไรหรอกพี่ เมื่อพี่มาก็อบอุ่น น้องยิ่งหวั่นว่าพี่จะเดินผ่านไปบ้านอื่น
(ฉลอง พันธ์จันทร์,  2549)
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า หมอลำ เป็น ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสานด้านศิลปกรรมที่เป็นอีกหนึ่งเครือข่ายของภูมิปัญญาไทย หมอลำได้มีมาแต่ยาวนาน กล่าวกันว่าหมอลำเป็นครูที่เก่งที่สุดคือ หมอลำสามารถถ่ายทอดความรู้ทางกลอนลำได้หลากหลายเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็น วัฒนธรรม ประเพณี ข่าวสารบ้านเมือง การเมืองการปกครอง ครอบครัว เป็นต้น ให้ชาวบ้านที่อ่านหนังสือไม่ได้ ได้รับรู้และเกิดสุนทรียภาพทางอารมณ์แก่ผู้ฟัง จึงทำให้หมอลำอยู่คู่กับชาวอีสานมาจนถึงปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น