การแต่งกลอนลำให้มีสุนทรียภาพ
1. ความหมายของกลอนลำ
พรศิริ ศรีอระพิมพ์ (2551) ได้ให้ความหมายของ กลอนลำ หมายถึง กลอนที่หมอลำใช้ร้อยกรองนิทานหรือนิยายเพื่อนำไปขับลำนำ ข้อแตกต่าง จากกลอนอ่านคือ กลอนลำไม่นิยมเสริมคำเสริม คำสร้อย แต่เคร่งครัดในเรื่องสัมผัสระหว่างวรรค
2. ฉันทลักษณ์ของกลอนลำ
สำเร็จ คำโมง (ม.ป.ป.) ได้กล่าวถึงบทร้อยกลองที่นำมาใช้ใส่ทำนองเพื่อขับร้องนั้นเรียกว่า “กลอนลำ” กลอนลำมีฉันทลักษณ์ อยู่ 3 แบบคือ
สำเร็จ คำโมง (ม.ป.ป.) ได้กล่าวถึงบทร้อยกลองที่นำมาใช้ใส่ทำนองเพื่อขับร้องนั้นเรียกว่า “กลอนลำ” กลอนลำมีฉันทลักษณ์ อยู่ 3 แบบคือ
2.1 แบบกลอนร่ายหรือกลอนฮ่าย
เป็นกลอนลำที่ไม่กำหนดจำนวนวรรค วรรคหนึ่ง ๆ มี 5-6 พยางค์ พยางค์ท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสสระ ไปยังพยางค์ที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 ของวรรคตามหลังต่อกันไปเรื่อย ๆ เช่นนี้จนกว่าจะจบบท ไม่บังคับวรรณยุกต์ในแต่ละวรรค แต่วรรคจบบทควรลงท้ายด้วยเสียงวรรณยุกต์โทจึงจะทำให้มีทำนองไพเราะ
เป็นกลอนลำที่ไม่กำหนดจำนวนวรรค วรรคหนึ่ง ๆ มี 5-6 พยางค์ พยางค์ท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสสระ ไปยังพยางค์ที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 ของวรรคตามหลังต่อกันไปเรื่อย ๆ เช่นนี้จนกว่าจะจบบท ไม่บังคับวรรณยุกต์ในแต่ละวรรค แต่วรรคจบบทควรลงท้ายด้วยเสียงวรรณยุกต์โทจึงจะทำให้มีทำนองไพเราะ
2.2 แบบกลอนตัด หรือกลอนกาพย์
เป็นกลอนลำที่ไม่กำหนดจำนวนวรรค วรรคหนึ่ง ๆ มี 7 พยางค์ แต่อาจมีถึง 12 พยางค์ก็ได้เพราะเวลาลำสามารถรวบคำหลาย ๆ คำเข้าเป็น 1 จังหวะเคาะ พยางค์ท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสสระไปยังพยางค์ที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 หรือ 5 ของวรรคตามหลังเรียงลำดับต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบบท แต่ละวรรคไม่มีบังคับเรื่องวรรณยุกต์
เป็นกลอนลำที่ไม่กำหนดจำนวนวรรค วรรคหนึ่ง ๆ มี 7 พยางค์ แต่อาจมีถึง 12 พยางค์ก็ได้เพราะเวลาลำสามารถรวบคำหลาย ๆ คำเข้าเป็น 1 จังหวะเคาะ พยางค์ท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสสระไปยังพยางค์ที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 หรือ 5 ของวรรคตามหลังเรียงลำดับต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบบท แต่ละวรรคไม่มีบังคับเรื่องวรรณยุกต์
2.3 แบบกลอนเยิ้น
เป็นกลอนลำที่แต่ละวรรคมีบังคับเรื่องเสียงวรรณยุกต์ เอก-โทตายตัว กลอนลำบทหนึ่ง ๆ มี 4 วรรค วรรคหนึ่งมี 7-12 พยางค์ พยางค์ท้ายของวรรคนำหน้าต้องส่งสัมผัสสระไปยังพยางค์ที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 หรือ 5 ของวรรคตามหลังต่อกันเป็นลูกโซ่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบบท อันที่จริงกลอนเยิ้นและกลอนตัดมีโครงสร้างของฉันทลักษณ์อย่างเดียวกัน เพียงแต่กลอนเยิ้นนั้นต้องมีบังคับเรื่องวรรณยุกต์เอก-โท เพื่อให้ใส่ทำนองลำยาวได้สละสลวย
เป็นกลอนลำที่แต่ละวรรคมีบังคับเรื่องเสียงวรรณยุกต์ เอก-โทตายตัว กลอนลำบทหนึ่ง ๆ มี 4 วรรค วรรคหนึ่งมี 7-12 พยางค์ พยางค์ท้ายของวรรคนำหน้าต้องส่งสัมผัสสระไปยังพยางค์ที่ 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ 4 หรือ 5 ของวรรคตามหลังต่อกันเป็นลูกโซ่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบบท อันที่จริงกลอนเยิ้นและกลอนตัดมีโครงสร้างของฉันทลักษณ์อย่างเดียวกัน เพียงแต่กลอนเยิ้นนั้นต้องมีบังคับเรื่องวรรณยุกต์เอก-โท เพื่อให้ใส่ทำนองลำยาวได้สละสลวย
ราตรีศรีวิไล บงสิทธพร (2554) ได้กล่าวถึงการแต่งกลอนให้มีสุนทรียภาพในกลอนลำของหมอลำกลอน มีอยู่ด้วยกัน 3 ด้านคือ
1. ด้านเนื้อหาของกลอนลำได้แก่กลอนลำที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อ คำสอน ความรัก พรรณนาความงามของธรรมชาติวิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมประเพณี
2. ด้านรูปแบบและฉันทลักษณ์ของกลอนลำ ที่มีสุนทรียภาพได้แก่ กลอนลำที่มีรูปแบบและฉันทลักษณ์ที่ถูกต้องตามแบบแผน ในลักษณะของ กลอนร่าย กลอนกาพย์ (กลอนตัด) กลอนเยิ้น (กลอนอ่าน หรือกลอนนิทาน) และกลอนเพลง
3. ด้านศิลปะในการใช้ถ้อยคำในกลอนลำที่มีสุนทรียภาพ คือเป็นกลอนลำที่มีการใช้ถ้อยคำ ได้ลึกซึ้งกินใจ เห็นภาพพจน์ เป็นคำผญาหรือปรัชญา ทั้งทางโลกและทางธรรม และเป็นคติสอนใจ ที่สื่อความหมายได้ตรง ชัดเจนและกระชับ การใช้ถ้อยคำที่มีทั้งคำสัมผัสนอน สัมผัสใน เกาะก่ายกันไปอย่างสละสลวย มีการใช้ถ้อยคำที่เป็นคำอุปมาอุปมัย ถ้อยคำที่เป็นสุภาษิต คำคม และถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์แก่ผู้อ่านหรือผู้ฟัง นอกจากนี้กลอนลำต้องมีความยาวพอเหมาแก่การรับฟัง แต่ละวรรคมีจำนวนถ้อยคำจำนวนพอเหมาะกับจังหวะและทำนองลำ
2. ด้านรูปแบบและฉันทลักษณ์ของกลอนลำ ที่มีสุนทรียภาพได้แก่ กลอนลำที่มีรูปแบบและฉันทลักษณ์ที่ถูกต้องตามแบบแผน ในลักษณะของ กลอนร่าย กลอนกาพย์ (กลอนตัด) กลอนเยิ้น (กลอนอ่าน หรือกลอนนิทาน) และกลอนเพลง
3. ด้านศิลปะในการใช้ถ้อยคำในกลอนลำที่มีสุนทรียภาพ คือเป็นกลอนลำที่มีการใช้ถ้อยคำ ได้ลึกซึ้งกินใจ เห็นภาพพจน์ เป็นคำผญาหรือปรัชญา ทั้งทางโลกและทางธรรม และเป็นคติสอนใจ ที่สื่อความหมายได้ตรง ชัดเจนและกระชับ การใช้ถ้อยคำที่มีทั้งคำสัมผัสนอน สัมผัสใน เกาะก่ายกันไปอย่างสละสลวย มีการใช้ถ้อยคำที่เป็นคำอุปมาอุปมัย ถ้อยคำที่เป็นสุภาษิต คำคม และถ้อยคำที่ก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์แก่ผู้อ่านหรือผู้ฟัง นอกจากนี้กลอนลำต้องมีความยาวพอเหมาแก่การรับฟัง แต่ละวรรคมีจำนวนถ้อยคำจำนวนพอเหมาะกับจังหวะและทำนองลำ
เสงี่ยม บึงไสย์ (2533) ได้อธิบายถึงคุณสมบัติที่สำคัญของผู้แต่งกลอนลำ ไว้ดังนี้
1. เป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องภาษา และฉันทลักษณ์ในการแต่งคำประพันธ์เป็นอย่างดี การรู้จักเลือกถ้อยคำ สำนวน และรูปแบบที่เหมาะสมในการประพันธ์เพื่อสื่อสารความหมายที่มีประสิทธิผลในกลอนลำ อันจะนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการในการเสนอแนวคิดนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งเพราะนอกจากให้คุณค่าทางด้านสังคมแล้วยังให้คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์อีกด้วย
2. ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องท้วงทำนองในการลำเป็นอย่างดี เพราะในการแต่งกลอนลำแต่ละกลอนนั้น ผู้แต่งกลอนลำจำเป็นต้องกำหนด จังหวะ และท่วงทำนองที่จะใช้ในการลำแต่ละบทกลอนลงไปด้วย ซึ่งจะช่วยให้หมอลำสามารถท่องจำบทกลอนได้ดียิ่งขึ้น
3. เป็นผู้รักการค้นคว้า นักแต่งกลอนลำที่ดีจะต้องเป็นผู้มีนิสัยรักการศึกษาค้นคว้า เพื่อให้เป็นผู้ที่มีความรู้ทางคดีโลกและทางคดีธรรม ซึ่งจะทำให้การเสนอเนื้อหาสาระในกลอนลำถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริงในสังคม เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือศรัทธาและสนใจที่จะฟังลำกลอนมากยิ่งขึ้นแหล่งค้นคว้าที่สำคัญ ได้แก่ หนังสือ ตำรา หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ เป็นต้น
4. เป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบดี ในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด โดยเฉพาะแนวความคิดทางการเมือง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงในสังคม ผู้แต่งกลอนลำจำเป็นจะต้องใช้เทคนิคลีลาในการนำเสนอเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์นั้น ๆ
ราตรีศรีวิไล บงสิทธพร (2554) สุนทรียภาพในกลอนลำ เกิดจากการบูรณาการด้านถ้อยคำ สำนวน ฉันทลักษณ์ และเนื้อหาที่ปรากฏในกลอนลำ เนื่องจากถ้อยคำ สำนวน ย่อมมีพลังก่อให้เกิดการสะเทือนต่อารมณ์ของผู้อ่านหรือผู้ฟังการลำ เช่น คำคม การสัมผัสนอกสัมผัสใน เช่นกลอนล่องโขงของ หมอลำขันทอง ธงภักดิ์ ที่ว่า
โอนอ นี้น้องกะยังได้เว้า เจ้าได้ว่า
ไม้เอยไม้เจ้าล้มพาดง่า ดะพุ้นว่าเดี่ยงมา
ว่าเดี่ยงมา…………………….ละน้า
กลอนลำนี้ให้ทั้งบรรยากาศ ความหมายที่เป็นมโนภาพและอุปมาอุปมัยที่ก่อให้เกิดความกินใจ และปิติ
3. เทคนิคในการเรียนแต่งกลอนลำ
ราตรีศรีวิไล บงสิทธพร (2554) แม่ครูราตรี ศรีวิไลใช้เทคนิคในการเรียนแต่งกลอนลำโดยให้ผู้เรียนทำการวิเคราะห์หาสุนทรียภาพออกเป็น 3 ประเด็น ดังนี้
1. เป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องภาษา และฉันทลักษณ์ในการแต่งคำประพันธ์เป็นอย่างดี การรู้จักเลือกถ้อยคำ สำนวน และรูปแบบที่เหมาะสมในการประพันธ์เพื่อสื่อสารความหมายที่มีประสิทธิผลในกลอนลำ อันจะนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการในการเสนอแนวคิดนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งเพราะนอกจากให้คุณค่าทางด้านสังคมแล้วยังให้คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์อีกด้วย
2. ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องท้วงทำนองในการลำเป็นอย่างดี เพราะในการแต่งกลอนลำแต่ละกลอนนั้น ผู้แต่งกลอนลำจำเป็นต้องกำหนด จังหวะ และท่วงทำนองที่จะใช้ในการลำแต่ละบทกลอนลงไปด้วย ซึ่งจะช่วยให้หมอลำสามารถท่องจำบทกลอนได้ดียิ่งขึ้น
3. เป็นผู้รักการค้นคว้า นักแต่งกลอนลำที่ดีจะต้องเป็นผู้มีนิสัยรักการศึกษาค้นคว้า เพื่อให้เป็นผู้ที่มีความรู้ทางคดีโลกและทางคดีธรรม ซึ่งจะทำให้การเสนอเนื้อหาสาระในกลอนลำถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริงในสังคม เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อถือศรัทธาและสนใจที่จะฟังลำกลอนมากยิ่งขึ้นแหล่งค้นคว้าที่สำคัญ ได้แก่ หนังสือ ตำรา หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ เป็นต้น
4. เป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบดี ในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด โดยเฉพาะแนวความคิดทางการเมือง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงในสังคม ผู้แต่งกลอนลำจำเป็นจะต้องใช้เทคนิคลีลาในการนำเสนอเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์นั้น ๆ
ราตรีศรีวิไล บงสิทธพร (2554) สุนทรียภาพในกลอนลำ เกิดจากการบูรณาการด้านถ้อยคำ สำนวน ฉันทลักษณ์ และเนื้อหาที่ปรากฏในกลอนลำ เนื่องจากถ้อยคำ สำนวน ย่อมมีพลังก่อให้เกิดการสะเทือนต่อารมณ์ของผู้อ่านหรือผู้ฟังการลำ เช่น คำคม การสัมผัสนอกสัมผัสใน เช่นกลอนล่องโขงของ หมอลำขันทอง ธงภักดิ์ ที่ว่า
โอนอ นี้น้องกะยังได้เว้า เจ้าได้ว่า
ไม้เอยไม้เจ้าล้มพาดง่า ดะพุ้นว่าเดี่ยงมา
ว่าเดี่ยงมา…………………….ละน้า
กลอนลำนี้ให้ทั้งบรรยากาศ ความหมายที่เป็นมโนภาพและอุปมาอุปมัยที่ก่อให้เกิดความกินใจ และปิติ
3. เทคนิคในการเรียนแต่งกลอนลำ
ราตรีศรีวิไล บงสิทธพร (2554) แม่ครูราตรี ศรีวิไลใช้เทคนิคในการเรียนแต่งกลอนลำโดยให้ผู้เรียนทำการวิเคราะห์หาสุนทรียภาพออกเป็น 3 ประเด็น ดังนี้
1. ด้านเนื้อหาของกลอน
2. ด้านรูปแบบและฉันทลักษณ์ของกลอนลำ
3. ด้านศิลปะในการใช้ถ้อยคำ
1. ชื่อกลอนลำ : ล่องโขง
ชื่อผู้แต่ง : หมอลำคำพอง
ชื่อหมอลำ : ขันทอง
2. ด้านรูปแบบและฉันทลักษณ์ของกลอนลำ
3. ด้านศิลปะในการใช้ถ้อยคำ
1. ชื่อกลอนลำ : ล่องโขง
ชื่อผู้แต่ง : หมอลำคำพอง
ชื่อหมอลำ : ขันทอง
ทำนอง : ทางยาว
(สำนวนภาษาถิ่นอีสาน)
(กลอนขึ้น)
(แผ่นเสียงกากระต่ายลำยาวล่องโขง)
โอนอน้องนี้ก้ะยังได้เว้าเจ้าได้ว่า
ไม่เอยไม้เจ้าซิล้มพาดง่า
ดะพุ้นหว้ะเดี่ยงมา หว้ะเดียงมา…หล้ะนา
(ในเนื้อกลอน)
(บทที่ 1)
โอน่อเหลียวไปทางเหนือพุ้นเวียงจันทร์ปากน้ำงึ่ม
เป็นแต่ดอนต่อ ขั้นขัน ต่อแจ้งกระแสน้ำปั่นปลิว
(บทที่ 2)
เหลียวไป ทิวบนถ้านโพธะรามก้ำบ้านโป่ง
เลาะตามสายแม่น้ำโขงเห็นแต่เรือพ่อค้าลงแก้งท่ากระเบา
(บทที่ 3)
เหลียวขึ้นไปทางหน้าดอนทับกวางกว้างจี่ดี่
เห็นแต่ดอนหมากอี่ติดกับดอนพระเจ้าซิเวินเข้าท่ากระดิง
(บทที่ 4)
หลิงไปหน้าดอนนาคำน้ำไหลโซ่
สุดที่โอยแล้วกะโอ้ดีฮ้ายก้ำฝ่ายเหนือ
(บทที่ 5)
เห็นแต่เฮือชาวค้าญวนแกวอยู่นำท่า
เห็นลุกขาชาติซ้อนเขียวสะอื้นป่งใบ
(บทที่ 6)
ยามเมือแลลงใต้นำของแจ้งจ่างป่าง
เหลียวไปทางฝั่งซ้ายสิเห็นบ้านหมู่ผู้ไท
(บทที่ 7)
เหลียวลงไปทางใต้ตามฝั่งกระแสชล
ย้านมันเพพังหักก้ะพ่องจมลงน้ำ
อันแต่ในของกว้างลำโขงหลายย่าน
เห็นแต่น้ำฟ้าดฟ้งซิติต้องตลิ่งเนิน…หล้ะนา
(บทที่ 8)
โอนอเหลียวลงไปทางใต้ดอนเจียงเฮียงฮ่ม
เห็นแต่ธาตุพนมตั้งอยู่ริมแม่น้ำหนี้คนไหว้อยู่บนเซา
(บทที่ 9)
หากแม่นธาตุพระเจ้าตั้งแต่ก่อนปางปฐม
เป็นที่เจดีย์สูงหมู่คนถนอมไหว้
ไหลลงไปทางใต้ดอนสาคามเวส
ลมหากตีฟาดต้องกระแสน้ำไง่ละออง
(บทที่ 10)
ของหากไหลตกแจ้งดอนโขงใกล้เมืองกี่
โตก้ะงวกพุ้นพี้ กระแสน้ำ เวิ่นวัง
(บทที่ 11)
เห็นแต่อาโปน้ำ กระแสเวินเปื้องปั่น
ดอนจันทน์ตั้งอยู่ของแม่น้ำ โขงกว้างระหว่างเซิน
หวิดดอนจันทร์ก้ะยังมีดอนขั้น ดอนโขงใกล้เมืองกี่
ดอนโขงอยู่ใต้หั่นแนมได้แม่นลี่ผี
(บทที่ 12)
หนีไปดอนในพุ้นดอนมดแดงแก้งส้มป่อย
ดอนมันลอยอยู่ใต้ไปหั้นแม่นทะเล
(บทที่ 13)
บ่อาจพันละนาโค้งมันโขงหลายบ่อน
ไหลไปตกไซง่อนโขงกะสุดท่อนี้
ซิไหลเลี้ยวสู่ทะเล
สู่ทะเล…
หล้ะนา…
1. วิเคราะห์สุทรียภาพด้านเนื้อหา กลอน”ลองโขง”
กลอนล่องโขงเป็นกลอนที่ได้รับความนิยมมานานเพราะเนื้อหาเป็นการพรรณนาถึงธรรมชาติและวิถีชีวิตของประชาชน ตลอดจนถานที่สำคัญต่าง ๆ ตามบริเวณสองฟากฝั่งของแม่น้ำโขง เช่น เกาะแก่ง การไหลของสายน้ำ หมู่บ้าน รุกขชาติต่าง ๆ และที่สำคัญคือ พรรณนาถึงพระธาตุพนมอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจของประชาชนไทย-ลาวในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ซึ้งมีรายละเอียดดังนี้
ตารางที่ 1 วิเคราะห์สุทรียภาพด้านเนื้อหา กลอน”ลองโขง”
(สำนวนภาษาถิ่นอีสาน)
(กลอนขึ้น)
(แผ่นเสียงกากระต่ายลำยาวล่องโขง)
โอนอน้องนี้ก้ะยังได้เว้าเจ้าได้ว่า
ไม่เอยไม้เจ้าซิล้มพาดง่า
ดะพุ้นหว้ะเดี่ยงมา หว้ะเดียงมา…หล้ะนา
(ในเนื้อกลอน)
(บทที่ 1)
โอน่อเหลียวไปทางเหนือพุ้นเวียงจันทร์ปากน้ำงึ่ม
เป็นแต่ดอนต่อ ขั้นขัน ต่อแจ้งกระแสน้ำปั่นปลิว
(บทที่ 2)
เหลียวไป ทิวบนถ้านโพธะรามก้ำบ้านโป่ง
เลาะตามสายแม่น้ำโขงเห็นแต่เรือพ่อค้าลงแก้งท่ากระเบา
(บทที่ 3)
เหลียวขึ้นไปทางหน้าดอนทับกวางกว้างจี่ดี่
เห็นแต่ดอนหมากอี่ติดกับดอนพระเจ้าซิเวินเข้าท่ากระดิง
(บทที่ 4)
หลิงไปหน้าดอนนาคำน้ำไหลโซ่
สุดที่โอยแล้วกะโอ้ดีฮ้ายก้ำฝ่ายเหนือ
(บทที่ 5)
เห็นแต่เฮือชาวค้าญวนแกวอยู่นำท่า
เห็นลุกขาชาติซ้อนเขียวสะอื้นป่งใบ
(บทที่ 6)
ยามเมือแลลงใต้นำของแจ้งจ่างป่าง
เหลียวไปทางฝั่งซ้ายสิเห็นบ้านหมู่ผู้ไท
(บทที่ 7)
เหลียวลงไปทางใต้ตามฝั่งกระแสชล
ย้านมันเพพังหักก้ะพ่องจมลงน้ำ
อันแต่ในของกว้างลำโขงหลายย่าน
เห็นแต่น้ำฟ้าดฟ้งซิติต้องตลิ่งเนิน…หล้ะนา
(บทที่ 8)
โอนอเหลียวลงไปทางใต้ดอนเจียงเฮียงฮ่ม
เห็นแต่ธาตุพนมตั้งอยู่ริมแม่น้ำหนี้คนไหว้อยู่บนเซา
(บทที่ 9)
หากแม่นธาตุพระเจ้าตั้งแต่ก่อนปางปฐม
เป็นที่เจดีย์สูงหมู่คนถนอมไหว้
ไหลลงไปทางใต้ดอนสาคามเวส
ลมหากตีฟาดต้องกระแสน้ำไง่ละออง
(บทที่ 10)
ของหากไหลตกแจ้งดอนโขงใกล้เมืองกี่
โตก้ะงวกพุ้นพี้ กระแสน้ำ เวิ่นวัง
(บทที่ 11)
เห็นแต่อาโปน้ำ กระแสเวินเปื้องปั่น
ดอนจันทน์ตั้งอยู่ของแม่น้ำ โขงกว้างระหว่างเซิน
หวิดดอนจันทร์ก้ะยังมีดอนขั้น ดอนโขงใกล้เมืองกี่
ดอนโขงอยู่ใต้หั่นแนมได้แม่นลี่ผี
(บทที่ 12)
หนีไปดอนในพุ้นดอนมดแดงแก้งส้มป่อย
ดอนมันลอยอยู่ใต้ไปหั้นแม่นทะเล
(บทที่ 13)
บ่อาจพันละนาโค้งมันโขงหลายบ่อน
ไหลไปตกไซง่อนโขงกะสุดท่อนี้
ซิไหลเลี้ยวสู่ทะเล
สู่ทะเล…
หล้ะนา…
1. วิเคราะห์สุทรียภาพด้านเนื้อหา กลอน”ลองโขง”
กลอนล่องโขงเป็นกลอนที่ได้รับความนิยมมานานเพราะเนื้อหาเป็นการพรรณนาถึงธรรมชาติและวิถีชีวิตของประชาชน ตลอดจนถานที่สำคัญต่าง ๆ ตามบริเวณสองฟากฝั่งของแม่น้ำโขง เช่น เกาะแก่ง การไหลของสายน้ำ หมู่บ้าน รุกขชาติต่าง ๆ และที่สำคัญคือ พรรณนาถึงพระธาตุพนมอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจของประชาชนไทย-ลาวในแถบลุ่มแม่น้ำโขง ซึ้งมีรายละเอียดดังนี้
ตารางที่ 1 วิเคราะห์สุทรียภาพด้านเนื้อหา กลอน”ลองโขง”
(กลอนขึ้น) (แผ่นเสียงกากระต่ายลำยาวล่องโขง) โอนอน้องนี้ก้ะยังได้เว้าเจ้าได้ว่า ไม่เอยไม้เจ้าซิล้มพาดง่า ดะพุ้นหว้ะเดี่ยงมา หว้ะเดียงมา…หล้ะนา | รำพึงรำพันถึงธรรมชาติและเปรียบเทียบกับความรัก ว่าเขาผิดหวังจากคนอื่น จึงกลับมาหาเรา |
(บทที่ 1) โอน่อเหลียวไปทางเหนือพุ้นเวียงจันทร์ปากน้ำงึ่ม เป็นแต่ดอนต่อ ขั้นขัน ต่อแจ้งกระแสน้ำปั่นปลิว | พรรณนาธรรมชาติ ที่เป็นเกาะเป็นดอนและกระแสน้ำที่ไหลผ่านเกาะแก่งต่าง ๆ |
(บทที่ 2) เหลียวไป ทิวบนถ้านโพธะรามก้ำบ้านโป่ง เลาะตามสายแม่น้ำโขงเห็นแต่เรือพ่อค้าลงแก้งท่ากระเบา | มีเรือค้าขายจอดอยู่ตามท่า ตามแก่ง |
(บทที่ 3) เหลียวขึ้นไปทางหน้าดอนทับกวางกว้างจี่ดี่ เห็นแต่ดอนหมากอี่ติดกับดอนพระเจ้าซิเวินเข้าท่ากระดิง | เห็นดอนทับกวาง ดอนหมากอี่และท่ากระดิง |
(บทที่ 4) หลิงไปหน้าดอนนาคำน้ำไหลโซ่ สุดที่โอยแล้วกะโอ้ดีฮ้ายก้ำฝ่ายเหนือ | น้ำไหลโกรกที่ดอนนาคำใจก็หวั่นไหวไปมา ทั้งด้านดีและด้านร้ายนึกถึงคนที่อยู่เหนือของสายน้ำ |
(บทที่ 5) เห็นแต่เฮือชาวค้าญวนแกวอยู่นำท่า เห็นลุกขาชาติซ้อนเขียวสะอื้นป่งใบ | พรรณนาถึงเรือที่ทำการค้าขายตามท่าน้ำ แลดูพืชพรรณไม้ที่กำลังผลิใบเขียวชะอุ่ม |
(บทที่ 6) ยามเมือแลลงใต้นำของแจ้งจ่างป่าง เหลียวไปทางฝั่งซ้ายสิเห็นบ้านหมู่ผู้ไท | เมื่อแลลงใต้ตามลำน้ำก็ดูกระจ่างเห็นได้ไกลและเห็นหมู่บ้านชาวผู้ไทเป็นหย่อม ๆ |
(บทที่ 7) เหลี่ยวลงไปทางใต้ตามฝั่งกระแสชล ย้านมันเพพังหักก้ะพ่องจมลงน้ำ อันแต่ในของกว้างลำโขงหลายย่าน เห็นแต่น้ำฟ้าดฟ้งซิติต้องตลิ่งเนิน…หล้ะนา | เมื่อเหลียวตามสายน้ำลงไป กลัวว่าบ้านเรือนจะพังและจมลงไปในแม่น้ำ ลำโขงนี้กว้างใหญ่และตกโค้งเหลือเกิน กระแสน้ำไหลตกกระแทกฟาดกับหินผาและฟากฝั่งฟุ้งกระจาย เป็นที่น่าอัศจรรย์ |
(บทที่ 8) โอนอเหลียวลงไปทางใต้ดอนเจียงเฮียงฮ่ม เห็นแต่ธาตุพนมตั้งอยู่ริมแม่น้ำหนี้คนไหว้อยู่บนเซา | เหลียวไปทางใต้ที่ดอนเจียงที่ร่มรื่น เห็นพระธาตุพนมตั้งเด่นเป็นสง่ามีผู้คนไปกราบไหว้บูชาอยู่ไม่ขาดสาย |
(บทที่ 9) หากแม่นธาตุพระเจ้าตั้งแต่ก่อนปางปฐม เป็นที่เจดีย์สูงหมู่คนถนอมไหว้ ไหลลงไปทางใต้ดอนสาคามเวส ลมหากตีฟาดต้องกระแสน้ำไง่ละออง | เป็นพระธาตุของพระพุทธองค์ สูงเด่นที่ผู้คนหวงแหนและกราบไหว้บูชา ถัดจากนี้ลงไปก็เป็นดอนสระ เห็นแต่ลมตีพัดกระแสน้ำเป็นฟองฟุ้งกระจายไปหมด |
(บทที่ 10) ของหากไหลตกแจ้งดอนโขงใกล้เมืองกี่ โตก้ะงวกพุ้นพี้ กระแสน้ำ เวิ่นวัง | แม่น้ำโขงก็ไหลไปตกแก้งที่ดอนโขงใกล้ตัวเองก็หันซ้ายแลขวา เมื่อเห็นกระแสน้ำสาดและไหลเป็นวังวน |
(บทที่ 11) เห็นแต่อาโปน้ำ กระแสเวินเปื้องปั่น ดอนจันทน์ตั้งอยู่ของแม่น้ำ โขงกว้างระหว่างเซิน หวิดดอนจันทร์ก้ะยังมีดอนขั้น ดอนโขงใกล้เมืองกี่ ดอนโขงอยู่ใต้หั่นแนมได้แม่นลี่ผี | เห็นแต่กระแสน้ำไหลหมุนเป็นวังวน ถัดจากนี้ก็เป็นดอนจันทร์ ถัดไปเป็นดอนโขง มองเห็นลี่ผีอยู่ถัดไป |
(บทที่ 12) หนีไปดอนในพุ้นดอนมดแดงแก้งส้มป่อย ดอนมันลอยอยู่ใต้ไปหั้นแม่นทะเล | ถัดไปอีกก็เป็นดอนมดแดง แก้งส้มป่อย ถัดไปก็เป็นทะเล |
(บทที่ 13) บ่อาจพันละนาโค้งมันโขงหลายบ่อน ไหลไปตกไซง่อนโขงกะสุดท่อนี้ ซิไหลเลี้ยวสู่ทะเล สู่ทะเล…หล้ะนา… | พรรณนากันไม่หวาดไม่ไหว เพราะมีมากมายเหลือเกิน ท้ายที่สุดแม่น้ำโขงก็ไหลไปตกที่เมืองไซ่ง่อน แล้วเลี้ยวลัดลงสู่ทะเล…นะ |
2. วิเคราะห์สุนทรียภาพด้านรูปแบบและฉันทลัษณ์ กลอน “ล่องโขง”
กลอนล่องโขงมี 14 บท แบ่งได้เป็น 3 ตอน คือ กลอนขึ้น “โอนอ…น้องนี้…” เนื้อในกลอนและกลอนลง ส่วนฉันทลักษณ์นั้น เป็นกลอนเยิ้น แต่ละบทประกอบด้วย 2 วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรคที่ 4 ที่มีครบ 4 เพียง 2 บท คำกลอนมีลักษณะเป็นลักษณะของคำผญาที่ใช้เกี้ยวพาราสี มีถ้อยคำเพิ่มที่หัววรรคและท้ายวรรค ในลักษณะคำบุพบทและคำสร้อย มีสัมผัสระหว่างวรรคและระหว่างบท บางแห่งก็ไม่มีดังรายละเอียดต่อไปนี้
กลอนล่องโขงมี 14 บท แบ่งได้เป็น 3 ตอน คือ กลอนขึ้น “โอนอ…น้องนี้…” เนื้อในกลอนและกลอนลง ส่วนฉันทลักษณ์นั้น เป็นกลอนเยิ้น แต่ละบทประกอบด้วย 2 วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรคที่ 4 ที่มีครบ 4 เพียง 2 บท คำกลอนมีลักษณะเป็นลักษณะของคำผญาที่ใช้เกี้ยวพาราสี มีถ้อยคำเพิ่มที่หัววรรคและท้ายวรรค ในลักษณะคำบุพบทและคำสร้อย มีสัมผัสระหว่างวรรคและระหว่างบท บางแห่งก็ไม่มีดังรายละเอียดต่อไปนี้
ตารางที่ 2 วิเคราะห์สุนทรียภาพด้านรูปแบบและฉันทลัษณ์ กลอน “ล่องโขง”
(กลอนขึ้น) (แผ่นเสียงกากระต่ายลำยาวล่องโขง) โอนอน้องนี้ก้ะยังได้เว้าเจ้าได้ว่า ไม่เอยไม้เจ้าซิล้มพาดง่า ดะพุ้นหว้ะเดี่ยงมา หว้ะเดียงมา…หล้ะนา | กลอนขึ้นเป็นกลอนเยิ้น มีวรรคเดียว คือวรรคที่ 4 มีเฉพาะสัมผัสใน คือ ว่า สัมผัสกับ ง่า และ มา |
(บทที่ 1) โอน่อเหลียวไปทางเหนือพุ้นเวียงจันทร์ปากน้ำงึ่ม เป็นแต่ดอนต่อ ขั้นขัน ต่อแจ้งกระแสน้ำปั่นปลิว | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรคที่4 ไม่มีสัมผัสนอก |
(บทที่ 2) เหลียวไป ทิวบนถ้านโพธะรามก้ำบ้านโป่ง เลาะตามสายแม่น้ำโขงเห็นแต่เรือพ่อค้าลงแก้งท่ากระเบา | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรคที่4 โป่ง ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ โขง ในวรรคที่ 4 |
(บทที่ 3) เหลียวขึ้นไปทางหน้าดอนทับกวางกว้างจี่ดี่ เห็นแต่ดอนหมากอี่ติดกับดอนพระเจ้าซิเวินเข้าท่ากระดิง | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรคที่4 จี่ดี่ ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ อี่ ในวรรคที่ 4 ดิง ในวรรคที่ 4 สัมผัสกับ หลิง ในบทถัดไป |
(บทที่ 4) หลิงไปหน้าดอนนาคำน้ำไหลโซ่ สุดที่โอยแล้วกะโอ้ดีฮ้ายก้ำฝ่ายเหนือ | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรคที่4 โซ่ ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ โอ้ ในวรรคที่ 4 เหนือ ใน วรรคที่ 4 สัมผัสกับ เฮือ ในบทถัดไป |
(บทที่ 5) เห็นแต่เฮือชาวค้าญวนแกวอยู่นำท่า เห็นลุกขาชาติซ้อนเขียวสะอื้นป่งใบ | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรคที่4 ท่า ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ ขา ในวรรคที่ 4 ใบ ในวรรคที่ 4 สัมผัสกับ ใต้ ในบทถัดไป |
(บทที่ 6) ยามเมือแลลงใต้นำของแจ้งจ่างป่าง เหลียวไปทางฝั่งซ้ายสิเห็นบ้านหมู่ผู้ไท | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรคที่4 จ่างป่าง ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ ทาง ในวรรค ที่ 4 ไท ในวรรคที่ 4 สัมผัสกับ ใต้ ในบทถัดไป |
(บทที่ 7) เหลี่ยวลงไปทางใต้ตามฝั่งกระแสชล ย้านมันเพพังหักก้ะพ่องจมลงน้ำ อันแต่ในของกว้างลำโขงหลายย่าน เห็นแต่น้ำฟ้าดฟ้งซิติต้องตลิ่งเนิน…หล้ะนา | เป็นกลอนเยิ้น มี 4 วรรค คือ ไม่มีสัมผัสระหว่างวรรค มีการสะอื้นเสียงลง จบครึ่งทาง (ครึ่งกลอน) |
(บทที่ 8) โอนอเหลียวลงไปทางใต้ดอนเจียงเฮียงฮ่ม เห็นแต่ธาตุพนมตั้งอยู่ริมแม่น้ำหนี้คนไหว้อยู่บนเซา | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรคที่4 ฮ่ม ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ พนม ในวรรคที่ 4 เซา ในวรรคที่ 4 สัมผัสกับ เจ้า ในบทถัดไป |
(บทที่ 9) หากแม่นธาตุพระเจ้าตั้งแต่ก่อนปางปฐม เป็นที่เจดีย์สูงหมู่คนถนอมไหว้ ไหลลงไปทางใต้ดอนสาคามเวส ลมหากตีฟาดต้องกระแสน้ำไง่ละออง | เป็นกลอนเยิ้น มี 4 วรรค คือ ไหว้ ในวรรคที่ 2 สัมผัสกับ ใต้ ในวรรคที่ 3 วรรคที่ 3 ไม่มีสัมผัสนอกกับวรรคที่ 4 ออง ในวรรคที่ 4 สัมผัสกับ ของ ในบทถัดไป |
(บทที่ 10) ของหากไหลตกแจ้งดอนโขงใกล้เมืองกี่ โตก้ะงวกพุ้นพี้ กระแสน้ำ เวิ่นวัง | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรคที่4 กี่ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ พี้ ในวรรคที่ 4 วรรคที่ 4 ไม่มีสัมผัสนอกับบทถัดไป |
(บทที่ 11) เห็นแต่อาโปน้ำ กระแสเวินเปื้องปั่น ดอนจันทน์ตั้งอยู่ของแม่น้ำ โขงกว้างระหว่างเซิน | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรค ที่ 4 ปั่น ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ จันทน์ ในวรรค ที่ 4 ในวรรคที่ 4 ไม่มีสัมผันนอกกับบทถัดไป |
(บทที่ 12)หวิดดอนจันทร์ก้ะยังมีดอนขั้น ดอนโขงใกล้เมืองกี่ ดอนโขงอยู่ใต้หั่นแนมได้แม่นลี่ผี | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรค ที่ 4 กี่ ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ ลี่ผี ในวรรคที่ 4 ลี่ผี ในวรรคที่ 4 สัมผัสกับ หนี ในบทถัดไป |
(บทที่ 13) หนีไปดอนในพุ้นดอนมดแดงแก้งส้มป่อย ดอนมันลอยอยู่ใต้ไปหั้นแม่นทะเล | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรค ที่ 4 ป่อย ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ ลอย ในวรรคที่ 4 ในวรรคที่ 4 ไม่มีสัมผัสนอกกับ บทถัดไป |
(บทที่ 14) บ่อาจพันละนาโค้งมันโขงหลายบ่อน ไหลไปตกไซง่อนโขงกะสุดท่อนี้ ซิไหลเลี้ยวสู่ทะเล สู่ทะเล…หล้ะนา… กลอนลง “โอ่” | เป็นกลอนเยิ้น มี 2วรรค คือ วรรคที่ 3 และวรรค ที่ 4 วรรคที่ 4 ขยายความออก เพื่อเอาสัมผัสและเนื้อหา บ่อน ในวรรคที่ 3 สัมผัสกับ ง่อน ในบทที่ 4 เอื้อน (ฮ่อน) ลงเสียงด้วย “ละน้า” และจบด้วย กลอนลง “โอ่” |
ตารางที่ 3 ตารางเทียบแผนผังคำประพันธ์กลอนลำทางยาว
1. ลำทางยาว | แผนผังคำประพันธ์ | ตัวอย่างคำประพันธ์ |
1.1 ตอนต้นหรือกลอนลงที่ขึ้นด้วย วรรคที่ 4 | O2O1 OO1OO2O1O2 OOO2O1O1O OO2 | โอ้โอ่ย คิดต่อใผได้แต่ฮ้าง ผลาสร้างน้องบ่มี ละน้า |
1.2 ตอนต้นหรือกลอนขึ้นที่ขึ้นด้วยวรรคที่ 3 และ 4 | O2O1 OOOOO2 OOOOO1 OOOO1O2 OOO2O1O1O OO2 | โอ้โอ่ย คิดนำซายหลายเด้ อกซิเพแตแล่ง เถิงยามแลงนั่งถ้า เป็นหยังอ้ายจั่งบ่มา ละน้า |
1.3 ตอนปลายหรือตอนลง ของกลอนขึ้น ของลำทางยาว | พยางค์เดียว O2 2 พยางค์ OO2 | โอ้ หรือ ละน้า |
ตารางที่ 4 ตารางเทียบแผนผังคำประพันธ์ชนิดของกลอน
2. ชนิดของกลอน | แผนผังของคำประพันธ์ | |
2.1 ลำทางยาวตอนกลางหรือตอนที่เป็นเนื้อกลอนที่มี 2 บท คือ บทที่ 3 และ 4 | 2 วรรค คือ วรรคที่ 3 และ 4 OOOOO2 OOOOO1 OOOOOO2 OOO2OOO1 | เดิกกะเดิกมาแล้ว แนวใดคิดฮอดพี่ เดิกพอดีคิดฮอดอ้าย ยามซิเข้านิบ่อนนอน |
2.2 ลำทางยาวตอนกลางหรือตอนที่เป็นเนื้อกลอนที่มี 4 บท คือ บทที่ 1-4 | OOOO1O2 OOO1OO OOOOO O1OO1OO2 OOOOO2 OOOOO1 OOOOO2 OO2O1O1O | ครั้นเจ้าคิดฮอดน้อง ให้เหลียวเบิ่งเดือนหงาย วันเพ็ญจันทร์เต็มดวง ส่องใสอยู่ในฟ้า เปรียบคือบุญยังหล้า มีใจนิใสแจ่ม แสงตานางกะจ้อง มองอ้ายอยู่ซุยาม |
2.3 ลำทางยาวตอนลง | พยางค์เดียว O2 2 พยางค์ OO2 | โอ้ ละน้า |
3. วิเคราะห์สุนทรียภาพด้านศิลปะการใช้ถ้อยคำ กลอน “ล่องโขง”
การใช้ถ้อยคำส่วนใหญ่เป็นการพรรณนา ถึงธรรมชาติ และวิถีชีวิตของชุมชน แล้วเทียบเคียงกับอารมณ์ความรู้สึก ด้วยกวีโวหาร อุปมาอุปมัย ให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเห็นภาพพจน์และอารมณ์ความรู้สึกคล้อยตามไป ดังต่อไปนี้
การใช้ถ้อยคำส่วนใหญ่เป็นการพรรณนา ถึงธรรมชาติ และวิถีชีวิตของชุมชน แล้วเทียบเคียงกับอารมณ์ความรู้สึก ด้วยกวีโวหาร อุปมาอุปมัย ให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านเห็นภาพพจน์และอารมณ์ความรู้สึกคล้อยตามไป ดังต่อไปนี้
ตารางที่ 5 วิเคราะห์สุนทรียภาพด้านศิลปะการใช้ถ้อยคำ กลอน “ล่องโขง”
(กลอนขึ้น) (แผ่นเสียงกากระต่ายลำยาวล่องโขง) โอนอน้องนี้ก้ะยังได้เว้าเจ้าได้ว่า ไม่เอยไม้เจ้าซิล้มพาดง่า ดะพุ้นหว้ะเดี่ยงมา หว้ะเดียงมา…หล้ะนา | พอขึ้นต้นก็เข้าประเด็นเรื่องความรักเลยทีเดียว คือพรรณนาถึงหมู่ไม้ที่ถูกลมพายุพัดกระพือจนกิ้งก้านโอนเอนไปมาตามกระแสลม ในฤดูฝน อุปมาดั่งว่าเคยผิดหวังจากคนอื่นแล้วค่อยหันมาหา |
(บทที่ 1) โอน่อเหลียวไปทางเหนือพุ้นเวียงจันทร์ปากน้ำงึ่ม เป็นแต่ดอนต่อ ขั้นขัน ต่อแจ้งกระแสน้ำปั่นปลิว | พรรณาถึงกระแสน้ำโขงซึ่งมีทั้งหมุนวนและพวยพุ่ง พร้อมหันหน้าและรำพึงถึงเวียงจันทร์และปากน้ำงึม |
(บทที่ 2) เหลียวไป ทิวบนถ้านโพธะรามก้ำบ้านโป่ง เลาะตามสายแม่น้ำโขงเห็นแต่เรือพ่อค้าลงแก้งท่ากระเบา | บางขณะจิตก็คิดไปถึงบ้านโป่ง โพธารามแล้วกลับมายังแม่น้ำโขง ซึ่งมีเรือจอดตามเกาะแก่ง |
(บทที่ 3) เหลียวขึ้นไปทางหน้าดอนทับกวางกว้างจี่ดี่ เห็นแต่ดอนหมากอี่ติดกับดอนพระเจ้าซิเวินเข้าท่ากระดิง | ล่องใต้ไปยังดอนทับกวาง ดอนหมากอีและดอนพระเจ้า และตรงเข้าสู่ท่ากระดิง |
(บทที่ 4) หลิงไปหน้าดอนนาคำน้ำไหลโซ่ สุดที่โอยแล้วกะโอ้ดีฮ้ายก้ำฝ่ายเหนือ | มองไปข้างหน้าเห็นดอนนาคำ “น้ำไหลโซ่” ให้ภาการไหลของน้ำที่ดอนนาคำ ว่าไหลอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ใจก็คิดคำนึงว่าคนที่อยู่ทางเหนือจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร |
(บทที่ 5) เห็นแต่เฮือชาวค้าญวนแกวอยู่นำท่า เห็นลุกขาชาติซ้อนเขียวสะอื้นป่งใบ | เห็นเรือพ่อค้าชาวเวียดนามจอดเรียงรายอยู่ตามท่า หมู่ไม้นานาพันธุ์กำลังผลิใบเขียวชอุ่มซ้อนกันอยู่เป็นทิวแถว |
(บทที่ 6) ยามเมือแลลงใต้นำของแจ้งจ่างป่าง เหลียวไปทางฝั่งซ้ายสิเห็นบ้านหมู่ผู้ไท | มองไปทางใต้โล่งกระจ่าง ทางฝั่งซ้ายจะเห็นหมู่บ้านผู้ไทตั้งเรียงรายตามฝั่ง |
(บทที่ 7) เหลี่ยวลงไปทางใต้ตามฝั่งกระแสชล ย้านมันเพพังหักก้ะพ่องจมลงน้ำ อันแต่ในของกว้างลำโขงหลายย่าน เห็นแต่น้ำฟ้าดฟ้งซิติต้องตลิ่งเนิน…หล้ะนา | ดูแล้วกลัวว่าบ้านเรือนเหล่านั้นจะถูกน้ำเซาะและพังถล่มลงไปในน้ำ มีหลายคดหลายโค้งเหลือเกิน ซึ่งช่วงหน้าเป็นครึ่งทางพอดี ผู้เขียนก็พาผู้ฟังแวะพักครึ่งทางด้วยคำว่า “เห็นแต่น้ำฟาดฟ้ง ซิตีต้องตลิ่งเนิน…ละน้า” เป็นการเน้นให้เห็นภาพ |
(บทที่ 8) โอนอเหลียวลงไปทางใต้ดอนเจียงเฮียงฮ่ม เห็นแต่ธาตุพนม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหนี้คนไหว้อยู่บนเซา | เมื่อพักเหนื่อยครึ่งทางแล้วก็ออกเดินทางล่องต่อไปทางใต้ถึง “ดอนเจียงเฮียงฮ่ม” และ”ธาตุพนมตั้งอยู่ริมแม่น้ำคนไหว้อยู่บ่เซา” ทำให้ผู้ฟังเห็นภาพว่าธาตุพนมตั้งอยู่ริมฝังโขง มีผู้คนไปกราบไหว้บูชาอยู่อย่างไม่ขาดสาย |
(บทที่ 9) หากแม่นธาตุพระเจ้าตั้งแต่ก่อนปางปฐม เป็นที่เจดีย์สูงหมู่คนถนอมไหว้ ไหลลงไปทางใต้ดอนสาคามเวส ลมหากตีฟาดต้องกระแสน้ำไง่ละออง | ทั้งชี้ให้เห็นว่าเป็นเจดีย์ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งสูงเด่นเป็นสง่า “หากแม่นธาตุพระเจ้า ตั้งแต่ก่อนปางปฐม เป็นทีเจดีย์สูงหมู่คนถนอมไหว้” ผู้ฟังส่วนใหญ่จำได้ติดใจ เพระกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพบูชา |
(บทที่ 10) ของหากไหลตกแจ้งดอนโขงใกล้เมืองกี่ โตก้ะงวกพุ้นพี้ กระแสน้ำ เวิ่นวัง | สายน้ำโขงไหลลงใต้ไปเรื่อย ๆ จนถึงดอนสาและไปแก้งที่ดอนโขงเห็นกระแสน้ำตีกับกระแสลม แลเห็นฟูฟองปลิวขึ้นเป็นละออง |
(บทที่ 11) เห็นแต่อาโปน้ำ กระแสเวินเปื้องปั่น ดอนจันทน์ตั้งอยู่ของแม่น้ำ โขงกว้างระหว่างเซิน | มองเห็นแต่กระแสน้ำที่ปั่นป่วนดอนจันทร์ตั้งอยู่ตรงจุดที่แม่น้ำเซินไหลลงบรรจบกบแม่น้ำโขง |
(บทที่ 12) หวิดดอนจันทร์ก้ะยังมีดอนขั้น ดอนโขงใกล้เมืองกี่ ดอนโขงอยู่ใต้หั่นแนมได้แม่นลี่ผี | จากดอนจันทร์ไปดอนโขงมองเห็นน้ำตกลี่ผีที่เรียกกันว่า “ดอน” นั้นก็หมายถึงเกาะที่อยู่กลางลำน้ำโขงนั้นเอง |
(บทที่ 13) หนีไปดอนในพุ้นดอนมดแดงแก้งส้มป่อย ดอนมันลอยอยู่ใต้ไปหั้นแม่นทะเล | ถัดจากนั้นไปก็เป็นดอนมดแดง และแก้งส้มป่อย ดู ๆ ไปดอนต่าง ๆ เหมือนว่ามันลอยอยู่ลำน้ำ ถัดจากนี้ไปก็เป็นทะเล |
(บทที่ 14) บ่อาจพันละนาโค้งมันโขงหลายบ่อน ไหลไปตกไซง่อนโขงกะสุดท่อนี้ ซิไหลเลี้ยวสู่ทะเล สู่ทะเล…หล้ะนา… | สุดท้ายผู้เขียนกลอนก็สรุปลงด้วยคำว่า ไม่สามารถจะพรรณนาได้ทุกอย่าง เพราะโขงมีหลายคดหลายโค้ง สรุปได้แต่เพียงว่า “บ่อาจพรรณนาโค้งมันโขงหลายบ่อน ไหลไปตกไซง่อน โขงกะสุดท่อนี้ ซิไหลเลี้ยวสู่ทะเล…ละน้า…โอ่” |
ในการลงจบของกลอนล่องโขงเป็นการจบแบบโบราณ คือลงด้วย “โอ่” แต่ในปัจจุบันนิยมลงจบแต่เพียง “ละน้า” แล้วทิ้งหางเสียงให้แคนรับช่วงต่อไป
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า แม่ครูราตรี ศรีวิไล นั้นได้ให้ผู้เรียนทำการวิเคราะห์หาสุนทรียภาพกลอนลำที่แม่ครูราตรี ศรีวิไลแต่งเอง หรืออาจเป็นกลอนลำที่ผู้อื่นแต่งมาทำการวิเคราะห์ 3 ประเด็นคือ ด้านเนื้อหาของกลอน ด้านรูปแบบและฉันทลักษณ์ของกลอนลำ และด้านศิลปะในการใช้ถ้อยคำ ถ้าหากผ่าน 3 ขั้นตอนนี้แล้วผู้เรียนก็จะสามารถเขียนกลอนลำได้ และอีกส่วนที่จะทำให้ผู้เรียนแต่งกลอนลำได้ คือ “พรสวรรค์” ความเอาใจใส่ ความขยัน อ่านหนังสือ ตำรา และข้อมูลข่าวสารในปัจจุบันสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้แต่งสามารถประสบผลสำเร็จในการแต่งกลอนลำได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น