วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ)



                1. ปริทรรศน์วัฒนธรรมอีสาน
                อุดม บัวศรี (2546) ได้กล่าวถึง การปริทรรศน์วัฒนธรรมอีสาน นั้นหมายถึง การมองภาพจำกัดหรือเฉพาะของวัฒนธรรมอีสานในด้านต่าง ๆ ให้มาเป็นกลุ่มก้อนและเป็นจริงโดยมีหัวข้อดังนี้
                    1.1  ความเชื่อถือในประเพณีวัฒนธรรมของคนอีสานในปัจจุบัน
ชาวอีสานมีความเชื่อถือในประเพณีอีสานมาตั้งแต่ครั้ง ปู่ ย่า ตา ยาย โดยได้มีการยึดถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน
                         1.1.1 ฮีตสิบสอง
                หนังสืออนุสรณ์ (2553) คำว่า ฮีตตรงกับศัพท์บาลีว่า จารีตตะ สันกฤตว่า จาริตตระ แปลว่า ขนธรรมเนียม แบบแผน ความประพฤติดีงาม หรือประเพณี ฮีตนั้นมี 12 อย่างหรือประเพณีทำบุญสิบสองเดือน ฮีตตามที่จะพูดถึงที่นี้ หมายความว่า ข้อบัญญัติที่ตั้งไว้เพื่อให้ชุมชนประกอบกิจกรรมสำคัญร่วมกัน เป็นปรัชญาทางสังคมจิตวิทยาอย่างหนึ่งซึ่งนักปราชญ์อีสานโบราณได้บัญญัติไว้ เพื่อให้คนมีโอกาสพบปะถามสารทุกข์สุกดิบกัน เดือนละ 1 ครั้ง เรียกว่า ฮีตสิบสอง พอจะไขความได้ว่าเป็นจารีตสิบสองรายการ คือ ประเพณีประจำสิบสองเดือนนั่นเอง เป็นจารีตที่จะให้สมาชิกในสังคม ได้มีโอกาสร่วมชุมนุมกันทำบุญเป็นประจำเดือนทุก ๆ เดือนของรอบปี ผลที่ได้รับก็คือ ทุกคนจะได้มีเวลาเข้าวัดใกล้ชิดกับหลักการของธรรมทางพุทธศาสนายิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนในย่านใกล้เคียงรู้จักมักคุ้นสามัคคีกันเป็นอย่างดี และมีผลทางอ้อม คือ เมื่อว่างจากากรงานอาชีพแล้ว ก็มีจารีตบังคับให้ทุก ๆ คนเสียสละทำงานร่วมกัน เพื่อสังคมส่วนรวมไม่ให้คนอยู่ว่าง ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนก็ถูกสังคมลงโทษ ตั้งข้อรังเกียจอย่างจริง ฮีตสิบสอง หรือประเพณีสิบสองเดือนของชาวอีสาน เป็นต้น    
                         1.1.2 คองสิบสี่
                คำว่า คองหรือครองสิบสี่นั้น ถ้าจะเปรียบก็เหมือนครองที่พระเจ้าอยู่ ฯ จะระบายความสุขให้ไปยังประชาชน ให้พระสงฆ์แผ่เมตตาสั่งสอนธรรมแก่ประชาชน และประชาชนถวายความจงรักภักดีต่อพระจ้าอยู่หัว ฯ โดยสายคอง 14 สาย ซึ่งบัญญัติไว้ให้แต่ละฝ่าย คือ ฝ่ายพระราชา 14 ข้อ ฝ่ายพระสงฆ์ 14 ข้อ และฝ่ายชาวบ้าน 14 ข้อ
                    1.2  แนวทางในการอนุรักษ์เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอีสาน
                อุดม บัวศรี (2546) กล่าวว่าศิลปวัฒนธรรมของชาติ จะมีการเคลื่อนตัวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแต่การเปลี่ยนแปลงนั้นจะอยู่บนพื้นฐานของเอกลักษณ์ของชาติ การเปลี่ยนแปลงที่วัฒนธรรมเป็นห่วงมากที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงที่ไร้ทิศทาง ไร้สำนึก ไร้การศึกษา และคัดเลือกว่าอะไรดี อะไรชั่ว ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าจะทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทางวัฒนธรรมของชาติขึ้น
                สถาบันต่าง ๆ ทางการศึกษาควรจะได้หาทางประสานงานกัน เพื่อวางแนวทางในการส่งเสริม ปรับปรุง พัฒนา อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติ โดยเฉพาะหน่วยงานของทางราชการที่อยู่ในข่ายของกระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย กระทรวงวิทยาศาสตร์ น่าจะได้วางนโยบายหลักใหญ่ ๆ ร่วมกัน
                กระทรวงศึกษาธิการซึ่งมีหน้าที่โดยตรงควรเป็นหลักในการทำงาน อย่างต่ำ ๆก็มีหน่วยงานระดับกรมในสังกัดที่มีหน้าที่โดยตรงถึง 3 กรม คือ กรมศิลปากร กรมการศาสนา และสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
                การเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอีสาน ย่อมเป็นไปได้ และสามารถเป็นไปอย่างแพร่หลายในทุกด้านก็ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
                1. การสร้างสรรค์ผลงานของคนท้องถิ่นเอง เช่น การทอผ้า กาจักสาน การแกะสลัก จนกระทั่งการร้องหมอลำในรูปแบบต่าง ๆ การกระจายของอาหารของอีสานการขยายตลาดผ้าไหมมัดหมี่ และจำหน่ายเทปหมอลำ หมอแคน ล้วนเป็นบ่อเกิดของการเผยแพร่วัฒนธรรมอีสานทั้งนั้น
2. นักวิชาการของอีสาน ยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวของอีสานออกสู่บรรณโลกน้อยมากจึงควรจะรีบผลิตเอกสาร เขียนผลงานต่าง ๆ ออกมาให้มากที่สุด เพื่อจะได้เผยแพร่สู่สาธารณชน
3. การเก็บรวบรวมอนุรักษ์รูปแบบของวัฒนธรรมดั้งเดิมในรูปของการบันทึกต่าง ๆ ควรมีการรีบเร่ง และดำเนินการให้เป็นระบบ และมีแหล่งข้อมูลที่ใคร ๆ ก็ศึกษาได้
4. ควรใช้สื่อมวลชนทุกสาขาให้เป็นประโยชน์
5. ควรเร่งเร้าให้ประชาชนเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมพื้นบ้าน และสามารถใช้วัฒนธรรมนั้นเป็นสื่อเข้าถึงประชาชน และประชาสัมพันธ์ ท้องถิ่นตนเอง การส่งเสริมดังกล่าวทำให้เกิดการแพร่หลายของค่านิยม
                   1.2.1  แนวโน้ม การอนุรักษ์และการสืบทอด
 ประมวล พิมพ์เสน (2546) การแสดงทุกอย่างจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความสนใจ ความต้องการของผู้ฟัง หรือผู้ที่ว่าจ้างไปแสดง การแสดงดนตรีทางทีวีสร้างอิทธิพลต่อผู้ฟังอย่างกว้างขวาง ผู้ฟังลำ กับผู้ฟังดนตรี แทบจะแบ่งกันสิ้นเชิง ถ้าสังเกตผู้ฟังหมอลำมักจะเกิดก่อนปี 2510 ถ้าเกิดหลังจากนั้นจะมาชอบดนตรี มีผู้ฟังบางส่วนจะให้ลูก ๆ ไปชมก่อนหลังจากหมดช่วงของดนตรีแล้วก็จะกลับมากเฝ้าบ้านให้พ่อ แม่ ให้ฟังหมอลำปัจจุบันตามที่ไปสังเกตผู้ชมดูประมาณ 20 งานตามถิ่นที่ต่าง ๆ และจากการสอบถามชาวคณะหมอลำได้ความว่า ผู้ฟังจะแบ่งกัน 50:50 คือฟังดนตรี 50% ฟังลำ 50% นั่นก็หมายความว่าหมอลำหมู่กำลังจะหมดความสนใจจากประชาชน ผู้ที่สนใจชมการแสดงดนตรีมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทางคณะต้องหาวิธีการสอนความต้องการของประชาชน จะต้องหานักร้องที่ดี  ๆ เด่น ๆ มาเข้าสังกัดวง หรือไม่ก็คัดนักร้องที่เสียงเดียวในวงไปอัดแผ่นเสียง คัดเลือกและฝึกซ้อมนักเต้นให้ทันสมัยเช่นเดียวกันกับวงสตริงหรือวงลูกทุ่งทั่วไป ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นไปด้วย ในปัจจุบันวัยหนุ่มวัยสาวมีเงินมีอิทธิพลในการไปว่าจ้างคณะหมอลำ เขาจึงเลือกเอาคณะที่มีการแสดงคอนเสิร์ตเด่น ๆ ดนตรีดี ๆ
การอนุรักษ์ จะต้องมีการจัดให้มีการประชุมสัมมนาหมอลำ สัมมนาดนตรีอีสาน และนักวิชาการจะต้องนำเสนอเรื่องต่าง ๆ ของชาวอีสานเข้าไปในหลักสูตร การเรียนการสอน ตั้งแต่ประถมขึ้นไปจนถึง อุดมศึกษา และทำหลักสูตรเปิดกว้าง เปิดวิชาเอกหมอลำ เพื่อให้ครูสอนตามหลักสูตรที่กล่าวมานี้ ถือเป็นหัวใจของการอนุรักษ์และการสืบทอดหมอลำ ด้านอื่น ๆ อีกอาจจะมีเช่น
1. การส่งเสริมอาชีพหมอลำด้วยวิธีการต่าง ๆ
2. การสัมมนาเพื่อรับทราบปัญหา
3. การเปิดสอนตามโครงการ
4. การจัดประกวดหมอลำ
5. การให้วุฒิบัตรผู้มีความสามารถ
6. ว่าจ้างหมอลำมาแสดงตามหน่วยงานต่าง ๆ
7. จัดพิมพ์ตำราหมอลำ
8. จัดให้นักวิชาการหมอลำ และผู้ชำนาญการหมอลำมาร่วมกันเขียนตำราและฝึกสอน
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า แนวทางในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยถิ่นอีสาน (หมอลำ) หมายถึงการประชาสัมพันธ์สื่อหมอลำ จัดทำเครือข่ายหมอลำ สถิติของการแสดงหมอลำ สถิติของผู้ชมการแสดง สิ่งเหล่านี้ทำให้หมอลำยังคงอยู่และสามารถบอกได้ถึงความนิยมของการอนุรักษ์หมอลำอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น