พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ (2546) ได้ให้ความหมายของญาณวิทยา และทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ทางญาณวิทยาไว้ดังนี้
1. ความหมายของญาณวิทยา
ญาณวิทยา เป็นคำแปลของคำว่า Epistemology ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยรูปแบบของความรู้ พัฒนาการ และขอบเขตของความรู้ ญาณวิทยาตามศัพท์หมายความว่า ศาสตร์แห่งความรู้ (Science of knowledge) เป็นคำที่ประกอบขึ้นด้วย คำ 2 คำ คือ Episteme ซึ่งหมายความว่า ความรู้กับคำว่า Logos ซึ่งมีความหมายว่าศาสตร์ญาณวิทยามีลักษณะเหมือนกับจิตวิทยา (ว่าด้วยการรับรู้) ประการหนึ่งคือ เป็นศาสตร์ที่ไม่พูดถึงหน้าที่ของความรู้ฉะนั้นจึงทำหน้าที่ไม่เหมือนกับตรรกศาสตร์ (ว่าด้วยความจริงของความรู้) สาระสำคัญของญาณวิทยาก็คือ ศึกษาเรื่องกำเนินความรู้ เนื้อหาของญาณวิทยาก็คือ การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการ วิธีการ วัตถุประสงค์ ลักษณะ เงื่อนไข ความมีเหตุผล และความคลาดเคลื่อนของความรู้ ผู้รู้บางท่านกล่าวว่าความจริงแล้วญาณวิทยาเป็นการ “อภิปรายปัญหาเกี่ยวกับความรู้ในแง่ปรัชญา” โดยเอาวิธีการของปรัชญาคือ วิธีนิรมัย วิธีอุปนัย วิธีวิเคราะห์ และวิธีสังเคราะห์ มาใช้ในการอภิปราย ปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วนั่นเอง และมีทัศนะแบบปรัชญา คือ เป็นอิสระ ใจกว้าง ใคร่ครวญอย่างไม่ลดละโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานคือประสบการณ์และการคิดหาเหตุผล ทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ทางญาณวิทยา คือ เหตุผลนิยม (Rationalism)ประจักษ์นิยม (Empiricism) เพทนาการนิยม (Sensationism) อนุมาณนิยม (Adriorism) อัชฌัติกญาณนิยม (Inguitionism) และทฤษฎีธรรมชาติของความรู้ คือ จิตนิยม (Idealism) สัจนิยม (Realism) ปฏิบัตินิยม (Pragmatism)
2. ทฤษฎีบ่อเกิดความรู้
2.1 เหตุผลนิยม (Rationalism)
กลุ่มเหตุผลนิยม เชื่อว่าความรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดเป็นความรู้ชนิดติดตัวมนุษย์มาและมีลักษณะเป็นเหตุผลกลุ่มเหตุผลนิยมนี้มีหลักการขั้นพื้นฐาน ดังนี้
1. เหตุผลนิยมเชื่อว่าเหตุผลเป็นอิสระจากประสาทสัมผัส
2. เหตุผลนิยมปฏิเสธความรู้ทางประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส
3. ความรู้เป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดความรู้เกิดจากความคิดหรือเหตุผลเพียงอย่างเดียว และความรู้ที่เกิดจากเหตุผลนี้เป็นความรู้ที่แน่นอน
ไลบ์นิช (Leibniz) เป็นนักเหตุผลนิยมที่มีความเชื่อในเรื่องความคิดติดตัว (Innate idea) ไลบ์นิช ได้กล่าวว่าไม่มีอะไรอยู่ในวุฒิปัญญานอกจากวุฒิปัญญาเท่านั้น และได้กล่าวสรุปว่าเนื่องจากความคิดติดตัวทั้งปวงมีพร้อมอยู่ในจิตใจของเราแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีความรู้อันใดที่จะอ้างได้ว่าเราได้มา (จากภายนอก) เขาเชื่อว่าจิตมนุษย์กระทำการอยู่เสมอแม้อยู่ในสภาพที่ไม่มีความรู้ ขณะไร้สติและขณะหลับ ในที่สุดความคิดติดตัวก็จะปรากฏออกมาในจิตมนุษย์โดยอาศัยการกระทำการของวุฒิปัญญา
2.1 เหตุผลนิยม (Rationalism)
กลุ่มเหตุผลนิยม เชื่อว่าความรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดเป็นความรู้ชนิดติดตัวมนุษย์มาและมีลักษณะเป็นเหตุผลกลุ่มเหตุผลนิยมนี้มีหลักการขั้นพื้นฐาน ดังนี้
1. เหตุผลนิยมเชื่อว่าเหตุผลเป็นอิสระจากประสาทสัมผัส
2. เหตุผลนิยมปฏิเสธความรู้ทางประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส
3. ความรู้เป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดความรู้เกิดจากความคิดหรือเหตุผลเพียงอย่างเดียว และความรู้ที่เกิดจากเหตุผลนี้เป็นความรู้ที่แน่นอน
ไลบ์นิช (Leibniz) เป็นนักเหตุผลนิยมที่มีความเชื่อในเรื่องความคิดติดตัว (Innate idea) ไลบ์นิช ได้กล่าวว่าไม่มีอะไรอยู่ในวุฒิปัญญานอกจากวุฒิปัญญาเท่านั้น และได้กล่าวสรุปว่าเนื่องจากความคิดติดตัวทั้งปวงมีพร้อมอยู่ในจิตใจของเราแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีความรู้อันใดที่จะอ้างได้ว่าเราได้มา (จากภายนอก) เขาเชื่อว่าจิตมนุษย์กระทำการอยู่เสมอแม้อยู่ในสภาพที่ไม่มีความรู้ ขณะไร้สติและขณะหลับ ในที่สุดความคิดติดตัวก็จะปรากฏออกมาในจิตมนุษย์โดยอาศัยการกระทำการของวุฒิปัญญา
2.2 ประจักษ์นิยม (Empiricism)
นักปรัชญากลุ่มนี้มีความเชื่อว่าประสบการณ์ประจักษ์เท่านั้นที่เป็นบ่อเกิดของความรู้ บุคคลสามารถรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัส แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นวิธีการคิดดังกล่าวนี้เรียกว่าประจักษ์นิยม
กลุ่มประจักษ์นิยมมีหลักการขั้นพื้นฐาน
1. กลุ่มประจักษ์นิยมถือว่า ความรู้เกิดจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ซึ่งได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
2. กลุ่มประจักษ์นิยมปฎิเสธความคิดติดตัวมาแต่กำเนิดว่าเป็นสิ่งไม่จริง
3. กลุ่มประจักษ์นิยมเชื่อว่าเหตุผลมิใช่แหล่งเกิดแห่งความรู้ เพราะถ้าไม่มีหลักการขั้นต้นของประสบการณ์แล้วเหตุผลก็คือแนวคิดเท่านั้น
4. กลุ่มประจักษ์นิยมเชื่อว่าผัสสะเป็นบ่อเกิดของความรู้
5. กลุ่มประจักษ์นิยมเชื่อว่า ความรู้ต้องสามารถพิสูจน์และต้องเป็นความรู้เกี่ยวกับวัตถุภายนอก
เดวิด ฮิวม์ (David Hume) เป็นนักประจักษ์นิยมคนสุดท้าย ฮิวม์เชื่อว่าความรู้ทุกอย่างที่ไม่ผ่านประสาทสัมผัสล้วนแต่เป็นโมฆะทั้งสิ้น และจิตที่สภาวะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏจากการรวมตัวของความคิด ความเจ็บปวด ความยาก เหล่านี้เป็นต้น ที่กล่าวมานี้จำเป็นการปฏิเสธว่าจิตไม่มีอยู่ ต่อมาทัศนะของฮิวม์ได้กลายมาเป็นเพทนาการนิยมนักปรัชญากลุ่มนี้มีความเชื่อว่าประสบการณ์ประจักษ์เท่านั้นที่เป็นบ่อเกิดของความรู้ บุคคลสามารถรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัส แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นวิธีการคิดดังกล่าวนี้เรียกว่าประจักษ์นิยม
กลุ่มประจักษ์นิยมมีหลักการขั้นพื้นฐาน
1. กลุ่มประจักษ์นิยมถือว่า ความรู้เกิดจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ซึ่งได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
2. กลุ่มประจักษ์นิยมปฎิเสธความคิดติดตัวมาแต่กำเนิดว่าเป็นสิ่งไม่จริง
3. กลุ่มประจักษ์นิยมเชื่อว่าเหตุผลมิใช่แหล่งเกิดแห่งความรู้ เพราะถ้าไม่มีหลักการขั้นต้นของประสบการณ์แล้วเหตุผลก็คือแนวคิดเท่านั้น
4. กลุ่มประจักษ์นิยมเชื่อว่าผัสสะเป็นบ่อเกิดของความรู้
5. กลุ่มประจักษ์นิยมเชื่อว่า ความรู้ต้องสามารถพิสูจน์และต้องเป็นความรู้เกี่ยวกับวัตถุภายนอก
2.3 เทพนาการนิยม (Sensationism) ได้รับการปรับปรุงมาจากประจักษ์นิยมของล็อคมาเป็นเพทนาการโดยนักปรัชญาชื่อเดวิด ฮิวม์ ฮิวม์กล่าวว่าความรู้ทุกอย่างเกิดจากความตรึงตราและความคิด ความคิดคือการถ่ายแบบที่เลือนลางของความตรึงตรา หรือจินตภาพความตรึงตราและความคิด ความคิดคือการถ่ายแบบที่เลือนลางของความตรึงตรา หรือจินตภาพความตรึงตราคือสัญชานที่ตื่นตัว ความตรึงตามแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ความตรึงตราที่เกิดจากการรับรู้ภายนอกกับความตรึงตราที่เกิดจากมโนภาพ หรือการรับรู้ภายในจิต ฮิวม์กล่าวว่า “การรับรู้ทั้งปวงของจิตมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ชนิดที่ต่างกันคือ ความตรึงตราและความคิด ความแตกต่างอยู่ที่ระดับของความแรงและความตื่นตัว การรับรู้ที่เข้าไปกระทบจิตอย่างแรงมาก เรียกว่า “ความตรึงตรา” ซึ่งหมายถึง เพทนาการ กิเลส และอาเวคของเรา คำว่า ความคิด หมายถึงจิตตภาพหรือการถ่ายแบบสิ่งเหล่านั้นเป็นปรากฏอย่างเลือนลางในการคิดและการหาเหตุผลเพทนาการไม่ได้เกิดขึ้นจากสสาร พลังหรืออำนาจที่เป็นเหตุสร้างผล เพราะพลังหรืออำนาจนั้นเรารับรู้ไม่ได้ ในที่สุดไฟลุกไหม้ทำให้รู้สึกร้อนด้วยเพทนาการทางกาย เมื่อเห็นไฟลุกไหม้เราจะรู้สึกว่าไฟร้อนอยู่เสมอโดยไม่ผันแปร เหตุคือสิ่งที่มีมาก่อนอย่างไม่ผันแปร และผลคือสิ่งที่ติดตามมาอย่างไม่ผันแปร ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างเหตุและผล เราจึงไม่สามารถหาเหตุผลว่าสสารเป็นเหตุแห่งเพทนาการ เราไม่มีความตรึงตราเกี่ยวกับสสาร สสารจึงไม่มีอยู่สิ่งที่เรียกว่าสสารคือเพทนาการ ชุดหนึ่ง สสารที่ต่างกันคือ เพทนาการที่ต่างกันนี้ แสดงว่าฮิวม์ปฏิเสธความมีอยู่ของสสาร ไม่มีจิตวิญญาณ หรืออัตตา สิ่งที่เรียกว่าจิตคือ ความคิด ความรู้สึก และเจตนาเพราะเราไม่มีความตรึงตรากับสิ่งเหล่านี้ในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี่เช่นกัน เพราะพิสูจน์ไม่ได้ความคิดเรื่องพระผู้เป็นเจ้าคนสร้างขึ้น ฉะนั้นฮิวม์จึงยอมรับเพียงความจริงบางอย่างเท่านั้น และไม่แน่นอน ซึ่งได้จากประสบการณ์และเราไม่สามารถก้าวเลยเพทนาการไปสู่ความแท้จริงภายนอกเพทนาการได้
2.4 อนุมาน (Apriorism) เกิดจากความพยายามเอาพวกเหตุผลนิยม กับประจักษ์นิยมรวมเข้าด้วยกัน นักปรัชญาที่มีความพยายามในเรื่องดังกล่าวนี้คือ อิมมานูเอล คานท์ ซึ่งเป็นนักเหตุผลนิยม คานท์ได้พิจารณาเห็นว่า ลัทธิประจักษ์นิยมและเหตุผลนิยมต่างมีความบกพร่องด้วยกัน และแต่ละปรัชญาได้ทำลายสิ่งที่ค้านท์ รักและเชิดชูด้วยกัน กล่าวคือ พวกประจักษ์นิยมมอบหมายมาตรการความจิรงให้กับผัสสะจนเกินไป จนกระทั่งปฏิเสธ กฎเกณฑ์ของคณิตศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ ส่วนผลเหตุผลนิยมก็มอบความเชื่อให้ปัญญาจนเกินไปจนกระทั่งปฏิเสธพื้นฐานทางศาสนาและศีลธรรม ซึ่งอันที่จริงแล้วค้านท์เห็นว่าทฤษฎีของพวกประจักษ์นิยมไม่เพียงพอที่จะอธิบายความเป็นจริงของโลกและชีวิตได้ และทฤษฎีของพวกเหตุผลนิยมก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายความจริง
2.5 อัชฌัติกญาณนิยม (Intuitionism) นักปรัชญากลุ่มนี้เป็นนักปรัชญาที่ปฏิเสธเหตุผลนิยมและประจักษ์นิยม และเชื่อว่าอัชฌัติกญาณเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นวิธีการได้มาซึ่งความรู้ที่ถูกต้อง อัชฌัติกญาณ หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นเอง กล่าวคือ เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องหนึ่งโดยทันทีทันใด เป็นความรู้ที่สว่างแวบขึ้นในความคิด และทำให้เราเข้าใจเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น นิวตัน เห็นลูกแอ๊ปเปิ้ลหล่นลงมา ทำให้เขาเกิดความเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าหตุมันจึงตกลงสู่พื้นโลกโดยไม่ล่องลอยขึ้นไปในอากาศ ความเข้าใจนี้ทำให้เขาค้นพบกฎความโน้มถ่วงสากล และใช้กฎนี้มาอธิบายการเคลื่อนที่ของเทหวัตถุทั้งในโลกและนอกโลกได้ และกฎนี้ยังใช้มาจนทุกวันนี้ ความรู้ที่รู้โดยอัชฌัติกญาณจึงเป็นการหยั่งรู้ภายนอก แต่การรู้แบบอัชฌัติกญาณเป็นการหยั่งรู้เข้าไปภายในสิ่งนั้นทำให้เกิดการรู้สิ่งนั้นทั้งหมด การอ้างความรู้แบบที่ปรากฏเด่นชัดอยู่ในศาสนา และศิลปะ อัชฌัติกญาณนี้จะเกิดกับคนบางคนและในบางเวลาเท่านั้น
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า หลักญาณวิทยา หมายถึง การศึกษาเรื่องกำเนินความรู้ และเนื้อหาของญาณวิทยาก็คือ การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการ วิธีการ วัตถุประสงค์ ลักษณะ เงื่อนไข ความมีเหตุผล และความคลาดเคลื่อนของความรู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น