วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หลักญาณวิทยา (Epiststemology)


                พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ (2546) ได้ให้ความหมายของญาณวิทยา และทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ทางญาณวิทยาไว้ดังนี้
                         1.  ความหมายของญาณวิทยา
                ญาณวิทยา เป็นคำแปลของคำว่า  Epistemology  ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยรูปแบบของความรู้   พัฒนาการ   และขอบเขตของความรู้   ญาณวิทยาตามศัพท์หมายความว่า  ศาสตร์แห่งความรู้ (Science  of  knowledge)  เป็นคำที่ประกอบขึ้นด้วย  คำ 2 คำ คือ Episteme ซึ่งหมายความว่า ความรู้กับคำว่า  Logos ซึ่งมีความหมายว่าศาสตร์ญาณวิทยามีลักษณะเหมือนกับจิตวิทยา (ว่าด้วยการรับรู้) ประการหนึ่งคือ  เป็นศาสตร์ที่ไม่พูดถึงหน้าที่ของความรู้ฉะนั้นจึงทำหน้าที่ไม่เหมือนกับตรรกศาสตร์  (ว่าด้วยความจริงของความรู้) สาระสำคัญของญาณวิทยาก็คือ  ศึกษาเรื่องกำเนินความรู้ เนื้อหาของญาณวิทยาก็คือ การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการ วิธีการ วัตถุประสงค์ ลักษณะ เงื่อนไข ความมีเหตุผล และความคลาดเคลื่อนของความรู้  ผู้รู้บางท่านกล่าวว่าความจริงแล้วญาณวิทยาเป็นการ  อภิปรายปัญหาเกี่ยวกับความรู้ในแง่ปรัชญาโดยเอาวิธีการของปรัชญาคือ  วิธีนิรมัย  วิธีอุปนัย  วิธีวิเคราะห์  และวิธีสังเคราะห์  มาใช้ในการอภิปราย  ปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วนั่นเอง  และมีทัศนะแบบปรัชญา  คือ เป็นอิสระ ใจกว้าง ใคร่ครวญอย่างไม่ลดละโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานคือประสบการณ์และการคิดหาเหตุผล ทฤษฎีบ่อเกิดความรู้ทางญาณวิทยา คือ เหตุผลนิยม (Rationalism)ประจักษ์นิยม  (Empiricism)  เพทนาการนิยม (Sensationism) อนุมาณนิยม (Adriorism) อัชฌัติกญาณนิยม (Inguitionism) และทฤษฎีธรรมชาติของความรู้  คือ จิตนิยม  (Idealism)  สัจนิยม  (Realism)  ปฏิบัตินิยม (Pragmatism)
                2.  ทฤษฎีบ่อเกิดความรู้
                     2.1 เหตุผลนิยม (Rationalism)
                กลุ่มเหตุผลนิยม
 เชื่อว่าความรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดเป็นความรู้ชนิดติดตัวมนุษย์มาและมีลักษณะเป็นเหตุผลกลุ่มเหตุผลนิยมนี้มีหลักการขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 
                1. เหตุผลนิยมเชื่อว่าเหตุผลเป็นอิสระจากประสาทสัมผัส 
                2. เหตุผลนิยมปฏิเสธความรู้ทางประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส 
                3. ความรู้เป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิดความรู้เกิดจากความคิดหรือเหตุผลเพียงอย่างเดียว และความรู้ที่เกิดจากเหตุผลนี้เป็นความรู้ที่แน่นอน
               
ไลบ์นิช
 (Leibniz) เป็นนักเหตุผลนิยมที่มีความเชื่อในเรื่องความคิดติดตัว (Innate idea)  ไลบ์นิช ได้กล่าวว่าไม่มีอะไรอยู่ในวุฒิปัญญานอกจากวุฒิปัญญาเท่านั้น  และได้กล่าวสรุปว่าเนื่องจากความคิดติดตัวทั้งปวงมีพร้อมอยู่ในจิตใจของเราแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีความรู้อันใดที่จะอ้างได้ว่าเราได้มา  (จากภายนอกเขาเชื่อว่าจิตมนุษย์กระทำการอยู่เสมอแม้อยู่ในสภาพที่ไม่มีความรู้ ขณะไร้สติและขณะหลับ  ในที่สุดความคิดติดตัวก็จะปรากฏออกมาในจิตมนุษย์โดยอาศัยการกระทำการของวุฒิปัญญา
                         2.2  ประจักษ์นิยม (Empiricism)
                        
นักปรัชญากลุ่มนี้มีความเชื่อว่าประสบการณ์ประจักษ์เท่านั้นที่เป็นบ่อเกิดของความรู้   บุคคลสามารถรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัส แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นวิธีการคิดดังกล่าวนี้เรียกว่าประจักษ์นิยม 
                        
กลุ่มประจักษ์นิยมมีหลักการขั้นพื้นฐาน  
                        
1. กลุ่มประจักษ์นิยมถือว่า  ความรู้เกิดจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส  ซึ่งได้แก่   ตา หู จมูก ลิ้น กาย
                         2. กลุ่มประจักษ์นิยมปฎิเสธความคิดติดตัวมาแต่กำเนิดว่าเป็นสิ่งไม่จริง
                         3. กลุ่มประจักษ์นิยมเชื่อว่าเหตุผลมิใช่แหล่งเกิดแห่งความรู้ เพราะถ้าไม่มีหลักการขั้นต้นของประสบการณ์แล้วเหตุผลก็คือแนวคิดเท่านั้น
                        
4. กลุ่มประจักษ์นิยมเชื่อว่าผัสสะเป็นบ่อเกิดของความรู้
                        
5. กลุ่มประจักษ์นิยมเชื่อว่า  ความรู้ต้องสามารถพิสูจน์และต้องเป็นความรู้เกี่ยวกับวัตถุภายนอก
                เดวิด  ฮิวม์ (David  Hume) เป็นนักประจักษ์นิยมคนสุดท้าย  ฮิวม์เชื่อว่าความรู้ทุกอย่างที่ไม่ผ่านประสาทสัมผัสล้วนแต่เป็นโมฆะทั้งสิ้น และจิตที่สภาวะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏจากการรวมตัวของความคิด  ความเจ็บปวด  ความยาก  เหล่านี้เป็นต้น ที่กล่าวมานี้จำเป็นการปฏิเสธว่าจิตไม่มีอยู่  ต่อมาทัศนะของฮิวม์ได้กลายมาเป็นเพทนาการนิยม
               
2.3 เทพนาการนิยม (Sensationism) ได้รับการปรับปรุงมาจากประจักษ์นิยมของล็อคมาเป็นเพทนาการโดยนักปรัชญาชื่อเดวิด ฮิวม์ ฮิวม์กล่าวว่าความรู้ทุกอย่างเกิดจากความตรึงตราและความคิด  ความคิดคือการถ่ายแบบที่เลือนลางของความตรึงตรา หรือจินตภาพความตรึงตราและความคิด  ความคิดคือการถ่ายแบบที่เลือนลางของความตรึงตรา  หรือจินตภาพความตรึงตราคือสัญชานที่ตื่นตัว  ความตรึงตามแบ่งออกเป็น  2  ชนิด คือ  ความตรึงตราที่เกิดจากการรับรู้ภายนอกกับความตรึงตราที่เกิดจากมโนภาพ  หรือการรับรู้ภายในจิต  ฮิวม์กล่าวว่า  การรับรู้ทั้งปวงของจิตมนุษย์แบ่งออกเป็น  2  ชนิดที่ต่างกันคือ  ความตรึงตราและความคิด  ความแตกต่างอยู่ที่ระดับของความแรงและความตื่นตัว   การรับรู้ที่เข้าไปกระทบจิตอย่างแรงมาก เรียกว่าความตรึงตราซึ่งหมายถึง  เพทนาการ  กิเลส   และอาเวคของเรา คำว่า ความคิด หมายถึงจิตตภาพหรือการถ่ายแบบสิ่งเหล่านั้นเป็นปรากฏอย่างเลือนลางในการคิดและการหาเหตุผลเพทนาการไม่ได้เกิดขึ้นจากสสาร พลังหรืออำนาจที่เป็นเหตุสร้างผล  เพราะพลังหรืออำนาจนั้นเรารับรู้ไม่ได้  ในที่สุดไฟลุกไหม้ทำให้รู้สึกร้อนด้วยเพทนาการทางกาย  เมื่อเห็นไฟลุกไหม้เราจะรู้สึกว่าไฟร้อนอยู่เสมอโดยไม่ผันแปร เหตุคือสิ่งที่มีมาก่อนอย่างไม่ผันแปร  และผลคือสิ่งที่ติดตามมาอย่างไม่ผันแปร  ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันระหว่างเหตุและผล  เราจึงไม่สามารถหาเหตุผลว่าสสารเป็นเหตุแห่งเพทนาการ เราไม่มีความตรึงตราเกี่ยวกับสสาร สสารจึงไม่มีอยู่สิ่งที่เรียกว่าสสารคือเพทนาการ ชุดหนึ่ง สสารที่ต่างกันคือ เพทนาการที่ต่างกันนี้ แสดงว่าฮิวม์ปฏิเสธความมีอยู่ของสสาร ไม่มีจิตวิญญาณ  หรืออัตตา สิ่งที่เรียกว่าจิตคือ  ความคิด  ความรู้สึก  และเจตนาเพราะเราไม่มีความตรึงตรากับสิ่งเหล่านี้ในเรื่องพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี่เช่นกัน เพราะพิสูจน์ไม่ได้ความคิดเรื่องพระผู้เป็นเจ้าคนสร้างขึ้น  ฉะนั้นฮิวม์จึงยอมรับเพียงความจริงบางอย่างเท่านั้น  และไม่แน่นอน ซึ่งได้จากประสบการณ์และเราไม่สามารถก้าวเลยเพทนาการไปสู่ความแท้จริงภายนอกเพทนาการได้
               
2.4 อนุมาน (Apriorism) เกิดจากความพยายามเอาพวกเหตุผลนิยม กับประจักษ์นิยมรวมเข้าด้วยกัน   นักปรัชญาที่มีความพยายามในเรื่องดังกล่าวนี้คือ อิมมานูเอล  คานท์  ซึ่งเป็นนักเหตุผลนิยม  คานท์ได้พิจารณาเห็นว่า ลัทธิประจักษ์นิยมและเหตุผลนิยมต่างมีความบกพร่องด้วยกัน  และแต่ละปรัชญาได้ทำลายสิ่งที่ค้านท์  รักและเชิดชูด้วยกัน  กล่าวคือ  พวกประจักษ์นิยมมอบหมายมาตรการความจิรงให้กับผัสสะจนเกินไป  จนกระทั่งปฏิเสธ  กฎเกณฑ์ของคณิตศาสตร์ของวิทยาศาสตร์  ส่วนผลเหตุผลนิยมก็มอบความเชื่อให้ปัญญาจนเกินไปจนกระทั่งปฏิเสธพื้นฐานทางศาสนาและศีลธรรม  ซึ่งอันที่จริงแล้วค้านท์เห็นว่าทฤษฎีของพวกประจักษ์นิยมไม่เพียงพอที่จะอธิบายความเป็นจริงของโลกและชีวิตได้  และทฤษฎีของพวกเหตุผลนิยมก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายความจริง               
                2
.5  อัชฌัติกญาณนิยม  (Intuitionism) นักปรัชญากลุ่มนี้เป็นนักปรัชญาที่ปฏิเสธเหตุผลนิยมและประจักษ์นิยม และเชื่อว่าอัชฌัติกญาณเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นวิธีการได้มาซึ่งความรู้ที่ถูกต้อง  อัชฌัติกญาณ หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นเอง กล่าวคือ เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องหนึ่งโดยทันทีทันใด  เป็นความรู้ที่สว่างแวบขึ้นในความคิด และทำให้เราเข้าใจเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น นิวตัน  เห็นลูกแอ๊ปเปิ้ลหล่นลงมา ทำให้เขาเกิดความเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าหตุมันจึงตกลงสู่พื้นโลกโดยไม่ล่องลอยขึ้นไปในอากาศ  ความเข้าใจนี้ทำให้เขาค้นพบกฎความโน้มถ่วงสากล   และใช้กฎนี้มาอธิบายการเคลื่อนที่ของเทหวัตถุทั้งในโลกและนอกโลกได้ และกฎนี้ยังใช้มาจนทุกวันนี้ ความรู้ที่รู้โดยอัชฌัติกญาณจึงเป็นการหยั่งรู้ภายนอก แต่การรู้แบบอัชฌัติกญาณเป็นการหยั่งรู้เข้าไปภายในสิ่งนั้นทำให้เกิดการรู้สิ่งนั้นทั้งหมด การอ้างความรู้แบบที่ปรากฏเด่นชัดอยู่ในศาสนา และศิลปะ  อัชฌัติกญาณนี้จะเกิดกับคนบางคนและในบางเวลาเท่านั้น 
                จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า หลักญาณวิทยา หมายถึง การศึกษาเรื่องกำเนินความรู้ และเนื้อหาของญาณวิทยาก็คือ การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการ วิธีการ วัตถุประสงค์ ลักษณะ เงื่อนไข ความมีเหตุผล  และความคลาดเคลื่อนของความรู้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น